หากว่าเพื่อนๆเป็นแฟนประจำของการ์ตูนแนวนักสืบ สอบสวน...
โนงามิ นิวโร คงไม่ใช่เรื่องที่เหมาะกับท่านมากนัก...
ถึงแม้ว่า ชื่อหัวทนโท่ภาษาไทยจะเขียนไว้ตัวโตว่า "ปีศาจนักสืบเขมือบปริศนา"
แต่ดีกรีความเป็นการ์ตูนนักสืบของมันนั้นแสนจะต่ำต้อย
ผมว่า % ของมันที่มีความเป็น Suspense นั้น อยู่ที่ราวๆ 20% เท่านั้น...
แต่จุดเด่นที่เด่นกว่าชื่อเรื่องของมันก็คือ
แนวการเขียนของ ยูเซย์ มัตซึอิ ซึ่งตั้งใจจะเขียนการ์ตูนเรื่องนี้ให้ออกมาเป็น
การ์ตูนสยองขวัญเกรด B
ซึ่งผมยืนยันเลย อ.ยูเซย์ ทำได้ดีขั้นเทพเลยทีเดียว
ตัวเอกของเรื่องอย่าง นิวโร นั้นมาอย่างไม่มีที่มาที่ไปเท่าไร
เพียงแต่บอกว่าเป็นปีศาจที่กินปริศนาในโลกปีศาจหมดแล้ว
จึงตัดสินใจขึ้นมาบนโลก ที่น่าจะมีปริศนาน่ากินมากมาย
เพราะคนบนโลกนั้น ช่างชั่วร้ายเหลือเกิน
แนวคิดสุดโต่งประหลาดๆนั้น สร้างแรงดึงดูดน่าสนใจให้กับการ์ตูนเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
นิวโรได้พบกับเด็กสาวที่ชื่อว่า คัตซึรางิ ยาโกะ ซึ่งก็แปลกพอๆกับปีศาจที่แปลกแบบนิวโร
ทั้งคู่จับผลัดจับผลูมาทำหน้าที่เป็นนักสืบ เพื่อเป็นหน้ากากให้ นิวโร มีโอกาสได้หาปริศนาได้กินง่ายขึ้น
ความแปลกของมันดึงดูดผู้อ่านกลุ่มใหญ่ได้ดี
ผมเองก็เป็นคนนึงที่เฝ้ารอการออกของมันอยู่อย่างสม่ำเสมอ...
วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
โนงามิ นิวโร : ปีศาจนักสืบเขมือบปริศนา
ป้ายกำกับ:
การ์ตูน,
โนงามิ นิวโร,
สยามอินเตอร์,
nogami,
nougami neuro,
SIC
วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
พันธุ์หมาบ้า : Mad Dogs
ผมเริ่มเขียนบทความนี้ตอนตี 3 กับอีก 12 นาที
ด้วยสติครึ่งตื่นครึงหลับ ใช่ เวลาตี 3
เช้าตรู่ของวันที่ 26 กพ.
ผมมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง
ใช่... จะเรียกว่าบ่อยคงไม่ผิด
ถ้าจะพอเรียกช่วงเวลานี้ว่าเพื่อน
ระดับความเป็นเพื่อนของผมกัยเวลานี้ ก็ค่อนข้างสนิทกันทีเดียว
เวลานี้มันปลุกสัญชาติญาณ การเขียนของผมขึ้นมา ด้วยอะไรก็ไม่รู้
ผมอยากจะเขียน เขียน เขียน พ้อมสบถด่าด้วยความรู้สึกที่ล้นพ้น
จะว่าไป เหมือนผมโลดแล่นอยู่ในหนังสือที่ขื่อว่า "พันธุ์หมาบ้า"
ประมาณ 10 ปีที่แล้ว ผมได้รู้จักกับหนังสือเล่มนี้
ไม่อินเท่าไรกับอารมณ์ของการใช้ชีวิตแบบในหนังสือ
รู้สึกเล็กๆว่ามัน Funky ดี
แต่ก็ไม่ได้คิดว่า อยาก หรือ ไม่อยาก ใช้ชีวิต ตามแบบนั้น
ชาติ กอบจิตติ กลั่นเอาประสบการณ์ส่วนหนึ่งมาถ่ายทอดลงหนังสือเล่มนี้อย่างละมุน
ความละมุนของมันผ่านมาทางตัวหนังสือที่ร้อยเรียงเต็มไปด้วยความหยาบกร้าน
แต่อ่านแล้วกลับกลมกลืนพิลึกๆ
คล้ายกับอารมณ์ยามคนรับเอาแอลกอฮอล์ไปทำลายสมองแบบะเวลานี้
ล่องลอยเล็กๆ แต่พยายามจิกเท้าเพื่อเอาตัวไม่ให้หลุดลอยออกไปจากแรงดึงดูดของดาวเคราะห์ดวงนี้
เอาจริงๆ ถามว่าผมประคองตัวได้แค่ไหน ตอนนี้
ดูตามคำผิดที่ผมเขียนเอาก็แล้วกัน
ผมคงไม่แก้ แต่จะเก็บเอาไว้อ่านขำ ตอนตื่นมา
ดูว่า...
มัน บ้า ขนาดไหน...
ด้วยสติครึ่งตื่นครึงหลับ ใช่ เวลาตี 3
เช้าตรู่ของวันที่ 26 กพ.
ผมมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง
ใช่... จะเรียกว่าบ่อยคงไม่ผิด
ถ้าจะพอเรียกช่วงเวลานี้ว่าเพื่อน
ระดับความเป็นเพื่อนของผมกัยเวลานี้ ก็ค่อนข้างสนิทกันทีเดียว
เวลานี้มันปลุกสัญชาติญาณ การเขียนของผมขึ้นมา ด้วยอะไรก็ไม่รู้
ผมอยากจะเขียน เขียน เขียน พ้อมสบถด่าด้วยความรู้สึกที่ล้นพ้น
จะว่าไป เหมือนผมโลดแล่นอยู่ในหนังสือที่ขื่อว่า "พันธุ์หมาบ้า"
ประมาณ 10 ปีที่แล้ว ผมได้รู้จักกับหนังสือเล่มนี้
ไม่อินเท่าไรกับอารมณ์ของการใช้ชีวิตแบบในหนังสือ
รู้สึกเล็กๆว่ามัน Funky ดี
แต่ก็ไม่ได้คิดว่า อยาก หรือ ไม่อยาก ใช้ชีวิต ตามแบบนั้น
ชาติ กอบจิตติ กลั่นเอาประสบการณ์ส่วนหนึ่งมาถ่ายทอดลงหนังสือเล่มนี้อย่างละมุน
ความละมุนของมันผ่านมาทางตัวหนังสือที่ร้อยเรียงเต็มไปด้วยความหยาบกร้าน
แต่อ่านแล้วกลับกลมกลืนพิลึกๆ
คล้ายกับอารมณ์ยามคนรับเอาแอลกอฮอล์ไปทำลายสมองแบบะเวลานี้
ล่องลอยเล็กๆ แต่พยายามจิกเท้าเพื่อเอาตัวไม่ให้หลุดลอยออกไปจากแรงดึงดูดของดาวเคราะห์ดวงนี้
เอาจริงๆ ถามว่าผมประคองตัวได้แค่ไหน ตอนนี้
ดูตามคำผิดที่ผมเขียนเอาก็แล้วกัน
ผมคงไม่แก้ แต่จะเก็บเอาไว้อ่านขำ ตอนตื่นมา
ดูว่า...
มัน บ้า ขนาดไหน...
ป้ายกำกับ:
ชาติ กอบจิตติ,
นิยาย,
นิยายไทย,
พันธุ์หมาบ้า
วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
A Long Way Down : เป็นอันตกลง
ผมไม่รู้จัก Nick Hornby เป็นการส่วนตัวก่อนหน้านี้
และตอนนี้ก็ยังไม่ได้รู้จักเขาเป็นการส่วนตัว
แต่ว่าเคยได้ดูหนังที่มาจากหนังสือของเขามาแล้ว 2 เรื่อง คือ About a boy และ High Fidelity ก็รู้สึกแล้วว่า Hornby แม่ง แนวครับ แนวมากๆ
เขามีมุมมองเรื่องง่ายๆให้แหวกได้ ขนาดที่เราคิดกันไม่ถึง มุมมองของเขาทำให้เรารู้ว่าโลกนี้มันมี "อีกด้าน" เสมอ
ใน A long way down พูดถึง กลุ่มเพื่อนซึ่งเกิดขึ้นมาได้เนื่องจากจะไปฆ่าตัวตายพร้อมๆกัน องค์ประกอบแปลกๆ ของนักข่าวที่เคยต้องคดีล่วงละเมิดผู้เยาว์ แม่ม่ายลูกติดที่มีอาการออทิสติค เด็กสาวปากหมา และ อดีตศิลปินวงร๊อค องค์ประกอบที่ไม่ลงตัว ในสถานการณ์ที่ต้องพาพวกเขามาเจอกัน กลั่นกรองเรื่องราวออกมาเป็นนิยายสุดแนวเรื่องนี้
หลังจากอ่านแล้วผมได้มุมมองแนวๆของ Hornby กลับมาคิดอีกหลายๆอย่าง ว่าชีวิต มันไม่ได้มีอะไรง่ายๆทั้งหมด และมันก็ไม่ได้มีอะไรที่ยากเกินไป
ขอเพียงแค่ลองคิดในมุมมองแปลกๆดูบ้าง ก็เท่านั้น... :D
และตอนนี้ก็ยังไม่ได้รู้จักเขาเป็นการส่วนตัว
แต่ว่าเคยได้ดูหนังที่มาจากหนังสือของเขามาแล้ว 2 เรื่อง คือ About a boy และ High Fidelity ก็รู้สึกแล้วว่า Hornby แม่ง แนวครับ แนวมากๆ
เขามีมุมมองเรื่องง่ายๆให้แหวกได้ ขนาดที่เราคิดกันไม่ถึง มุมมองของเขาทำให้เรารู้ว่าโลกนี้มันมี "อีกด้าน" เสมอ
ใน A long way down พูดถึง กลุ่มเพื่อนซึ่งเกิดขึ้นมาได้เนื่องจากจะไปฆ่าตัวตายพร้อมๆกัน องค์ประกอบแปลกๆ ของนักข่าวที่เคยต้องคดีล่วงละเมิดผู้เยาว์ แม่ม่ายลูกติดที่มีอาการออทิสติค เด็กสาวปากหมา และ อดีตศิลปินวงร๊อค องค์ประกอบที่ไม่ลงตัว ในสถานการณ์ที่ต้องพาพวกเขามาเจอกัน กลั่นกรองเรื่องราวออกมาเป็นนิยายสุดแนวเรื่องนี้
หลังจากอ่านแล้วผมได้มุมมองแนวๆของ Hornby กลับมาคิดอีกหลายๆอย่าง ว่าชีวิต มันไม่ได้มีอะไรง่ายๆทั้งหมด และมันก็ไม่ได้มีอะไรที่ยากเกินไป
ขอเพียงแค่ลองคิดในมุมมองแปลกๆดูบ้าง ก็เท่านั้น... :D
ป้ายกำกับ:
นิยาย,
นิยายแปล,
เป็นอันตกลง,
About a boy,
A Long Way Down,
High Fidelity,
Nick Hornby
วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
DMC : Detroit Metal City
ผมได้อ่านการ์ตูนเรื่องนี้เป็นเพราะผมได้ยินว่าพี่ตรัย ภูมิรัตน์ อ่าน
ผมก็ไม่คิดว่าลุคพี่ตรัยจะอ่านก่ร์ตูนที่แนวขนาดนี้
และแนวขนาดนี้ก็หมายถึงแนว Metal ซะด้วย
DMC หรือ Detroit Metal City เป็นการ์ตูนที่ผมอ่านแล้วรู้สึกถึงความ ดิบ เถื่อน และ เสื่อม แบบแปลกๆ
แต่ในความเถื่อน ดิบ เสื่อม ก็ถ่ายทอดความเป็น Metal ได้อย่างชัดเจนจริงๆ
ก่อนหน้านี้ ผมคิดว่า Metal ก็คือดนตรี Rock แนว ที่ต้องแต่งตัวแปลกๆ ทาหน้าขาวๆ อย่าง KISS
แต่พอได้อ่านแล้ว ผมรู้เลยว่า Metal มันมีอะไรมากกว่านั้นจริงๆ
เรื่องราวของ DMC เริ่มต้นจากเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ด้าน Metal มากมาย เนงิชิ โซอิจิ เขาได้รับขนานนามว่า ท่านเคราเซอร์ที่ 2 สุดยอดแห่ง Metal ผู้ที่ทำได้ทุกๆอย่าง ประหนึ่งปีศาจร้ายแห่ง Metal
แต่ครจะรู้ว่าภายหลังลอกเมคอัพหน้าออก เด็กหนุ่มคนเดียวกันนี้ คือคนที่ชอบดนตรี Swedish Pop
และเป็นเด็กเนิร์ดคนหนึ่งเท่านั้น
เรื่องราวขมวดให้เกิดปมที่ เนงิชิ ต้องเลือกระหว่างการเป็น 2 คาแรคเตอร์ที่ต่างกันสุดขั้วอยู่ตลอดเวลา
ความดังของเรื่องนี้ทำให้ DMC ได้กลายเป็นทั้ง Animation และ ภาพยนตร์ฉบับคนแสดง ที่นำแสดงโดย Kenichi Matsuyama ผู้เคยรับบท L ที่แสนโด่งดังจาก Death Note
ความดังของเรื่องนี้มีมากมายขนาดไหน
มันจะมันส์อย่างไร ลองไปหามาอ่านดูครับ
ผมก็ไม่คิดว่าลุคพี่ตรัยจะอ่านก่ร์ตูนที่แนวขนาดนี้
และแนวขนาดนี้ก็หมายถึงแนว Metal ซะด้วย
DMC หรือ Detroit Metal City เป็นการ์ตูนที่ผมอ่านแล้วรู้สึกถึงความ ดิบ เถื่อน และ เสื่อม แบบแปลกๆ
แต่ในความเถื่อน ดิบ เสื่อม ก็ถ่ายทอดความเป็น Metal ได้อย่างชัดเจนจริงๆ
ก่อนหน้านี้ ผมคิดว่า Metal ก็คือดนตรี Rock แนว ที่ต้องแต่งตัวแปลกๆ ทาหน้าขาวๆ อย่าง KISS
แต่พอได้อ่านแล้ว ผมรู้เลยว่า Metal มันมีอะไรมากกว่านั้นจริงๆ
เรื่องราวของ DMC เริ่มต้นจากเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ด้าน Metal มากมาย เนงิชิ โซอิจิ เขาได้รับขนานนามว่า ท่านเคราเซอร์ที่ 2 สุดยอดแห่ง Metal ผู้ที่ทำได้ทุกๆอย่าง ประหนึ่งปีศาจร้ายแห่ง Metal
แต่ครจะรู้ว่าภายหลังลอกเมคอัพหน้าออก เด็กหนุ่มคนเดียวกันนี้ คือคนที่ชอบดนตรี Swedish Pop
และเป็นเด็กเนิร์ดคนหนึ่งเท่านั้น
เรื่องราวขมวดให้เกิดปมที่ เนงิชิ ต้องเลือกระหว่างการเป็น 2 คาแรคเตอร์ที่ต่างกันสุดขั้วอยู่ตลอดเวลา
ความดังของเรื่องนี้ทำให้ DMC ได้กลายเป็นทั้ง Animation และ ภาพยนตร์ฉบับคนแสดง ที่นำแสดงโดย Kenichi Matsuyama ผู้เคยรับบท L ที่แสนโด่งดังจาก Death Note
ความดังของเรื่องนี้มีมากมายขนาดไหน
มันจะมันส์อย่างไร ลองไปหามาอ่านดูครับ
ป้ายกำกับ:
การ์ตูน ไทย,
Detroit Metal City,
DMC,
evolution x,
Kenichi Matsuyama,
Manga
วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
BERSERK : จากวันนั้น ...ถึงวันนี้
ผมจำไม่ได้อย่างแน่นอนว่าผมได้อ่านมหากาพย์ชิ้นนี้ตั้งแต่เมื่อไร
แต่คร่าวๆมันก็ต้องเป็นช่วงประถมอย่างแน่นอน
การ์ตูนเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นตั้งแต่ปี 1990 จนถึงปัจจุบัน
ใช้เวลาไปแล้วกว่า 21 ปี
แต่มีรวมเล่มออกมาแค่ 35 เล่ม
วันนี้เป็นวันที่ฉบับภาษาไทยเล่ม 35 ออก
ทำให้ผมต้องมาเขียนถึง Berserk ซะหน่อย
เหตุผลที่เรียกว่ามหากาพย์คงเป็นที่มาจาก
1. ความยาวที่ยาวนานมากๆๆๆๆ
2. มันเป็นผลต่อเนื่องที่เราไม่แน่ใจว่า เราจะได้อ่านตอนจบของเรื่องมั้ย เพราะคนเขียนอาจจะตายก่อน
Kentarou Miura ผู้เขียน BERSERK เป็นโอตาคุที่ชอบเล่นเกมส์เป็นอย่างมาก
ทำให้เมื่อทีเกมส์แนวจีบสาวๆออกมา เขาต้องหยุดงบานเขียนเสียทุกครั้งไป
ทั้งๆที่เนื้อหาของ BERSERK นั้น ออกจะเป็นแนว Fantasy ผจญภัย ที่มีกลิ่นอายมืดๆอยู่ทั้งเรื่อง
ขัดแย้งกับรสนิยมของผู้เขียนอย่างชัดเจน!!!
เนื้อหาของเรื่องเป็นการเดินเรื่องที่มี กั๊ซ ตัวเอกของเรื่องเป็นผู้ดำเนินเรื่อง
โดยมีตัวร้านเป็นเพื่อนสนิทของ กั๊ซ ที่ชื่อว่า กรีฟิซ
ซึ่งถ้ามาเปิดอ่านโดยที่ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน
ผู้อ่านใหม่ๆจะพาลเข้าใจผิดไปได้อย่างง่ายดายว่า ตัวร้ายคือ กั๊ซ อย่างแน่นอน
ตอนนี้เนื้อเรื่องออกทะเลไปพอสมควร
ทำให้ผู้อ่านยุคแรกๆถอนตัวไปหลายคน
แต่สำหรับผม
ผมยังแอบหวังลึกว่าจะได้อ่านตอนจบในชีวิตนี้...
แต่คร่าวๆมันก็ต้องเป็นช่วงประถมอย่างแน่นอน
การ์ตูนเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นตั้งแต่ปี 1990 จนถึงปัจจุบัน
ใช้เวลาไปแล้วกว่า 21 ปี
แต่มีรวมเล่มออกมาแค่ 35 เล่ม
วันนี้เป็นวันที่ฉบับภาษาไทยเล่ม 35 ออก
ทำให้ผมต้องมาเขียนถึง Berserk ซะหน่อย
เหตุผลที่เรียกว่ามหากาพย์คงเป็นที่มาจาก
1. ความยาวที่ยาวนานมากๆๆๆๆ
2. มันเป็นผลต่อเนื่องที่เราไม่แน่ใจว่า เราจะได้อ่านตอนจบของเรื่องมั้ย เพราะคนเขียนอาจจะตายก่อน
Kentarou Miura ผู้เขียน BERSERK เป็นโอตาคุที่ชอบเล่นเกมส์เป็นอย่างมาก
ทำให้เมื่อทีเกมส์แนวจีบสาวๆออกมา เขาต้องหยุดงบานเขียนเสียทุกครั้งไป
ทั้งๆที่เนื้อหาของ BERSERK นั้น ออกจะเป็นแนว Fantasy ผจญภัย ที่มีกลิ่นอายมืดๆอยู่ทั้งเรื่อง
ขัดแย้งกับรสนิยมของผู้เขียนอย่างชัดเจน!!!
เนื้อหาของเรื่องเป็นการเดินเรื่องที่มี กั๊ซ ตัวเอกของเรื่องเป็นผู้ดำเนินเรื่อง
โดยมีตัวร้านเป็นเพื่อนสนิทของ กั๊ซ ที่ชื่อว่า กรีฟิซ
ซึ่งถ้ามาเปิดอ่านโดยที่ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน
ผู้อ่านใหม่ๆจะพาลเข้าใจผิดไปได้อย่างง่ายดายว่า ตัวร้ายคือ กั๊ซ อย่างแน่นอน
ตอนนี้เนื้อเรื่องออกทะเลไปพอสมควร
ทำให้ผู้อ่านยุคแรกๆถอนตัวไปหลายคน
แต่สำหรับผม
ผมยังแอบหวังลึกว่าจะได้อ่านตอนจบในชีวิตนี้...
ป้ายกำกับ:
เบอร์เซิกร์,
วิบูลย์กิจ,
โอตาคุ,
Kentarou Miura,
Manga,
VBK
วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
GANTZ (ガンツ) : ลูกกลมลึกลับ มนุษย์ต่างดาว และ ความลับของจักรวาล
ในโอกาสที่หนังโรง GANTZ จะเข้าโรงในเร็ววันนี้
ผมเลยอยากพูดถึงความทรงจำเจ๋งๆเกี่ยวกับ Manga เรื่องนี้สักหน่อย
ผมมีโอกาสได้หยิบอ่าน GANTZ เพราะได้ยินว่ามันเป็นการ์ตูนเลือดสาด และ เซอร์วิส
และที่สำคัญมันจะถูกแบน...
ทำให้ผมอยากอ่านเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
หลังจากได้อ่านไป 10 กว่าเล่ม ก็พบว่ามันเป็นการ์ตูนที่มีเรื่องราวบรรเจิดมากๆ
และยังไม่มีทีท่าจะเฉลยความลับต่างๆของเนื้อเรื่องเลยแม้แต่น้อย
โลกของ GANTZ นั้น เป็นโลกที่ซ้อนทับอยู่กับโลกที่เราใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบัน
ผู้ที่จะเข้าสู่ GANTZ ได้นั้น ก็คือผู้ที่ต้องผ่านการเสียชีวิตบนโลกนี้ไปแล้ว 1 ครั้ง
GANTZ จะมอบชีวิตที่ 2 ให้อีกครั้ง โดยต้องแลกกับการต่อสู้กับมนุษย์ต่างดาวหลากหลายพันธุ์
สาระสำคัญของเรื่องก็คือการต่อสู้ การเอาตัวรอด
และมิตรภาพที่จะช่วยให้ทุกๆคนใน GANTZ ผ่านพ้นการต่อสู้ในแต่ละครั้งไปได้
กลิ่นอายของการ์ตูนเรื่องนี้จะค่อนข้าง ดิบ เถื่อน และ 18+ หน่อยๆ
เพราะความโหดในฉากการฆ่า ฉากเลือดสาด ฉากวับๆแวมๆ
จึงไม่ใช่การ์ตูนที่เด็กๆควรจะอ่านและหมกหมุ่นในเวลานี้
แต่ในแง่ของการสร้างงาน
ผู้สร้างได้ให้ความละเอียดอ่อนกับฉากหลังต่างๆเป็นอย่างมาก
แทบทุกฉากนั้นสร้างจาก CG และ Character Design ก็ทำได้เยี่ยม...
ใครเป็นแฟนของ GANTZ อย่าลืมไปติดตามชมในโรงภาพยนตร์นะครับ 10 มีนาคม นี้
ผมเลยอยากพูดถึงความทรงจำเจ๋งๆเกี่ยวกับ Manga เรื่องนี้สักหน่อย
ผมมีโอกาสได้หยิบอ่าน GANTZ เพราะได้ยินว่ามันเป็นการ์ตูนเลือดสาด และ เซอร์วิส
และที่สำคัญมันจะถูกแบน...
ทำให้ผมอยากอ่านเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
หลังจากได้อ่านไป 10 กว่าเล่ม ก็พบว่ามันเป็นการ์ตูนที่มีเรื่องราวบรรเจิดมากๆ
และยังไม่มีทีท่าจะเฉลยความลับต่างๆของเนื้อเรื่องเลยแม้แต่น้อย
โลกของ GANTZ นั้น เป็นโลกที่ซ้อนทับอยู่กับโลกที่เราใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบัน
ผู้ที่จะเข้าสู่ GANTZ ได้นั้น ก็คือผู้ที่ต้องผ่านการเสียชีวิตบนโลกนี้ไปแล้ว 1 ครั้ง
GANTZ จะมอบชีวิตที่ 2 ให้อีกครั้ง โดยต้องแลกกับการต่อสู้กับมนุษย์ต่างดาวหลากหลายพันธุ์
สาระสำคัญของเรื่องก็คือการต่อสู้ การเอาตัวรอด
และมิตรภาพที่จะช่วยให้ทุกๆคนใน GANTZ ผ่านพ้นการต่อสู้ในแต่ละครั้งไปได้
กลิ่นอายของการ์ตูนเรื่องนี้จะค่อนข้าง ดิบ เถื่อน และ 18+ หน่อยๆ
เพราะความโหดในฉากการฆ่า ฉากเลือดสาด ฉากวับๆแวมๆ
จึงไม่ใช่การ์ตูนที่เด็กๆควรจะอ่านและหมกหมุ่นในเวลานี้
แต่ในแง่ของการสร้างงาน
ผู้สร้างได้ให้ความละเอียดอ่อนกับฉากหลังต่างๆเป็นอย่างมาก
แทบทุกฉากนั้นสร้างจาก CG และ Character Design ก็ทำได้เยี่ยม...
ใครเป็นแฟนของ GANTZ อย่าลืมไปติดตามชมในโรงภาพยนตร์นะครับ 10 มีนาคม นี้
ป้ายกำกับ:
18+,
การ์ตูน,
Alien,
GANTZ,
Hiroya Oku,
Manga,
Rate,
Siam Inter Comic,
SIC
วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
Lord of the Rings : The Fellowship of the ring - ความทรงจำครั้งลางเลือน ก่อนดูหนัง
ผมมานึกถึงเรื่องราวของ LOTR ในวันนี้เนื่องจากผมพึ่งเล่นเกมส์ LOTR บน iPad จบเรียบร้อย
มานั่งย้อนนึกไป ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบในเวลาเพียงแค่ 2-3 วัน จากการไปเที่ยวหัวหินกับครอบครัว
จำได้ว่าผมซื้อหนังสือเมื่อวัน ศุกร์ และอ่านจบในวัน อาทิตย์หรือไม่ก็จันทร์
ในตอนนั้นเป็นฉบับปกแข็งที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์อมรินทร์ ในงานหนังสือช่วงปลายปี
ผมรู้จักหนังสือเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นเพราะแรงโปรโมทหนังที่กำลังจะเข้าในปลายปีนั้น (2001)
ด้วยความที่มีความชื่นชมกับเรื่องแนวแฟนตาซีอยู่แล้ว
การรับเอา LOTR มาอ่านนั้นจึงเป็นเรื่องที่ทำได้อย่างง่ายดาย
ครั้งแรกที่ผมเปิดอ่าน...
ผมพูดได้เพียงว่า น่าทึ่ง...
ผมทึ่งในอัจฉริยะภาพของ J.R.R. Tolkien อย่างเหลือล้ำ
ในยุคนั้น ปี 1944-45 กว่า 60 ปีที่ผ่านมา
Tolkien ได้สร้างโลก Middle Earth ขึ้นมาอย่างอลังการ
โลกนั้นเต็มไปด้วยตำนานของตัวมันเอง
จากจุดเริ่มต้น และจุดจบ อย่างชัดเจน
หลากเผ่าพันธุ์ ถูกสรรสร้างให้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในนั้น
เล่มแรกของ LOTR หรือ The Fellowship of the ring เล่าถึงเรื่องของ โฟรโด หนุ่ม (ไม่) น้อย เผ่าพันธุ์ฮอบบิท หรือจะว่าไปคงเป็นคนตัวเล็กๆเผ่าหนึ่ง ที่ต้องรับภาระในการนำแหวนของจอมอสูรเซารอนไปทิ้งลงในภูเขาไฟ เพื่อทำลายและรักษาความสงบสุขของโลก
เล่มแรกจึงเป็นเรื่องราวของการเกริ่นนำ
การรวมตัวกันของเหล่าพันธมิตรแห่งแหวน
และการผจญภัยในเส้นทางที่แสนลำบากยากเย็น...
ผมนังจดจำความประทับใจเหล่านั้นได้ไม่รู้ลืม
และแอบนิยมชมชอบ Tolkien พร้อมยกให้เป็นครูนับจากวันนั้น...
มานั่งย้อนนึกไป ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบในเวลาเพียงแค่ 2-3 วัน จากการไปเที่ยวหัวหินกับครอบครัว
จำได้ว่าผมซื้อหนังสือเมื่อวัน ศุกร์ และอ่านจบในวัน อาทิตย์หรือไม่ก็จันทร์
ในตอนนั้นเป็นฉบับปกแข็งที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์อมรินทร์ ในงานหนังสือช่วงปลายปี
ผมรู้จักหนังสือเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นเพราะแรงโปรโมทหนังที่กำลังจะเข้าในปลายปีนั้น (2001)
ด้วยความที่มีความชื่นชมกับเรื่องแนวแฟนตาซีอยู่แล้ว
การรับเอา LOTR มาอ่านนั้นจึงเป็นเรื่องที่ทำได้อย่างง่ายดาย
ครั้งแรกที่ผมเปิดอ่าน...
ผมพูดได้เพียงว่า น่าทึ่ง...
ผมทึ่งในอัจฉริยะภาพของ J.R.R. Tolkien อย่างเหลือล้ำ
ในยุคนั้น ปี 1944-45 กว่า 60 ปีที่ผ่านมา
Tolkien ได้สร้างโลก Middle Earth ขึ้นมาอย่างอลังการ
โลกนั้นเต็มไปด้วยตำนานของตัวมันเอง
จากจุดเริ่มต้น และจุดจบ อย่างชัดเจน
หลากเผ่าพันธุ์ ถูกสรรสร้างให้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในนั้น
เล่มแรกของ LOTR หรือ The Fellowship of the ring เล่าถึงเรื่องของ โฟรโด หนุ่ม (ไม่) น้อย เผ่าพันธุ์ฮอบบิท หรือจะว่าไปคงเป็นคนตัวเล็กๆเผ่าหนึ่ง ที่ต้องรับภาระในการนำแหวนของจอมอสูรเซารอนไปทิ้งลงในภูเขาไฟ เพื่อทำลายและรักษาความสงบสุขของโลก
เล่มแรกจึงเป็นเรื่องราวของการเกริ่นนำ
การรวมตัวกันของเหล่าพันธมิตรแห่งแหวน
และการผจญภัยในเส้นทางที่แสนลำบากยากเย็น...
ผมนังจดจำความประทับใจเหล่านั้นได้ไม่รู้ลืม
และแอบนิยมชมชอบ Tolkien พร้อมยกให้เป็นครูนับจากวันนั้น...
ป้ายกำกับ:
งานหนังสือ,
นิยาย,
นิยายแปล,
อัมรินทร์,
J.R.R. Tolkien,
lord of the ring
วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
The Notebook : แด่ความรักที่อดทนนาน... และทำคุณให้
“ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่าง แม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง”
1 โครินธ์ 13:4-7
ผมอ่าน The Notebook เป็นครั้งแรกจากสำนวนแปลของคุณจิระนันท์ พิตรปรีชา
และนิยายเรื่องนี้ก็ทำให้ผมไปขวนขวายเอานิยายของ Nicholas Sparks มาอ่านอีกหลายเรื่อง
ช่วงนั้นเป็นตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัย
เรียกได้ว่าน้ำตาลในเส้นเลือดล้นปรี่กันไปทีเดียว
หลังจากนั้นผมก็ต้องหยุดอ่านนิยายของ Sparks ไปร่วมปี เพราะความเลี่ยนเกินพิกัดที่ผมเองจะรับได้
แต่ผมยอมรับเลยว่า เขาคือคนที่กลั่นกรองเรื่องรักๆแบบอมเศร้าเหล่านี้มาแปลสภาพเป็นตัวหนังสือได้อย่างไร้ที่ติ
เรื่องราวของความรักที่มันไม่ได้หวานชื่นเหมือนที่เด็กสาวอายุ 17 ฝันไป
เรื่องราวของ Sparks มันมีความจริงปนอยู่มาก
สีชมพูเขาเป็นชมพูหม่นๆหน่อย
เพราะมันเป็นชมพูที่ผ่านการใช้ชีวิต ไม่ใช่ชมพูที่อยู่ในความฝัน
The Notebook ก็มาในทิศทางแบบนี้
เรื่องราวของความห่างชั้นวรรณะของหนุ่มสาว
อุปสรรคขวางกั้นหลายหลาก
การทดสอบของโชคชะตาที่จะบอกได้ว่าทั้งสองควรคู่กันหรือไม่
เรื่องราวผูกปมอย่างงดงาม หวานซึ้ง และเรียกน้ำตาได้ทุกครั้งที่ผมหยิบขึ้นมาอ่าน
สำหรับผมผมยกให้เล่มนี้ คือที่สุดของ Sparks
1 โครินธ์ 13:4-7
ผมอ่าน The Notebook เป็นครั้งแรกจากสำนวนแปลของคุณจิระนันท์ พิตรปรีชา
และนิยายเรื่องนี้ก็ทำให้ผมไปขวนขวายเอานิยายของ Nicholas Sparks มาอ่านอีกหลายเรื่อง
ช่วงนั้นเป็นตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัย
เรียกได้ว่าน้ำตาลในเส้นเลือดล้นปรี่กันไปทีเดียว
หลังจากนั้นผมก็ต้องหยุดอ่านนิยายของ Sparks ไปร่วมปี เพราะความเลี่ยนเกินพิกัดที่ผมเองจะรับได้
แต่ผมยอมรับเลยว่า เขาคือคนที่กลั่นกรองเรื่องรักๆแบบอมเศร้าเหล่านี้มาแปลสภาพเป็นตัวหนังสือได้อย่างไร้ที่ติ
เรื่องราวของความรักที่มันไม่ได้หวานชื่นเหมือนที่เด็กสาวอายุ 17 ฝันไป
เรื่องราวของ Sparks มันมีความจริงปนอยู่มาก
สีชมพูเขาเป็นชมพูหม่นๆหน่อย
เพราะมันเป็นชมพูที่ผ่านการใช้ชีวิต ไม่ใช่ชมพูที่อยู่ในความฝัน
The Notebook ก็มาในทิศทางแบบนี้
เรื่องราวของความห่างชั้นวรรณะของหนุ่มสาว
อุปสรรคขวางกั้นหลายหลาก
การทดสอบของโชคชะตาที่จะบอกได้ว่าทั้งสองควรคู่กันหรือไม่
เรื่องราวผูกปมอย่างงดงาม หวานซึ้ง และเรียกน้ำตาได้ทุกครั้งที่ผมหยิบขึ้นมาอ่าน
สำหรับผมผมยกให้เล่มนี้ คือที่สุดของ Sparks
ป้ายกำกับ:
นิยาย,
นิยายแปล,
มติชน,
Nicholas Sparks,
the notebook
วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
Marketing Management : Philip Kotler : เกือบทศวรรษของมุมมอง
ผมมีโอกาสได้รู้จักชื่อของ Philip Kotler เป็นครั้งแรกในรั้วสีฟ้า หลังคาสีชมพู
ก็ตอนที่ตัดสินใจแล้วว่า จะเป็นนักธุรกิจกับเขาบ้าง อาจจะยังไม่ชัดนักว่าจะสายไหน
แต่เอาดีทางนี้แน่ๆ...
ก็คงเหมือนกับเพื่อนร่วมรุ่นอีกราว 700 คน ที่ต้องได้ผ่านตากับหนังสือเล่มหนาที่ชื่อว่า
Marketing Management กันไปถ้วนหน้า ไม่ว่าจะอยากผ่านหรือไม่ก็ตาม
และผมก็เชื่อว่านิสิต นักศึกษา อีกล้านแปดคนรอบโลกที่เรียนคณะด้านธุรกิจ
ก็ต้องผ่านตากับเนื้อหาในเล่มนี้กันมาถ้วนหน้า
ฉบับที่ผมได้เปิดอ่านในครั้งแรกนั้นเป็นฉบับ Millennium Edition (ถ้าผมจำไม่ผิด)
ตอนนั้น รู้สึกว่า โอ้ววว วิชานี้มันช่างใช่เหลือเกิน ถึงแม้ว่าภาษาจะกระดิกตาตามลำบากนิดหนึ่ง แต่ก็เป็นวิชาที่ผมอ่านจบครบเล่ม แม้จะไม่ทุกหน้า แต่อ่านเยอะอยู่ใช่เล่น
ผิดกับอีกหลายๆวิชา ที่ไปพึ่งพาไอ้ร้าน Xerox เอาเสียส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้เลือกเรียนภาคการตลาดในวันนั้น ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางประการ
ผ่านไปอีกเกือบทศวรรษ ผมมีโอกาสได้หยิบจับ Marketing Management อีกครั้งตอนเรียนโท
แต่ครั้งนี้เพื่อนเก่าของผมก็โตขึ้นเช่นกัน จากฉบับนั้น วันนี้เขามาเป็น 13th Edition
เหมือนกับผม ที่ท้ายที่สุดแล้วแม้ไม่ได้เข้าภาคการตลาด
แต่ตอนนี้ก็มาแย่งงานเด็กการตลาดทำอยู่
เพื่อนผมเล่มนี้เริ่มสมสมัย คือเล่น Internet เป็น และ มีการแต่งแต้มตัวเองด้วยเหนื้อหาเกี่ยวกับ Internet อย่างพอได้ Trend...
พอมาหยิบจับอีกครั้ง ก็พาลหวนระลึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ตอนรู้จัก 4p รู้จัก STP รู้จัก Branding
แต่ยอมรับว่าตอนนี้มุมมองที่อ่านเพื่อนเล่มนี้ ได้ต่างไปอย่างมาก
ตอนนั้นเหมือนเพื่อนได้สอนอะไรผมอย่างเดียว
แต่ตอนนี้เหมือนว่าเราคุยกัน และแบ่งปันอะไรๆให้กับมากขึ้น
ถ้ามีคำถามว่าผมรัก TEXT Book เล่มไหนมากที่สุด ไม่ยากเลย...
ก็เล่มนี้น่ะแหละ
ก็ตอนที่ตัดสินใจแล้วว่า จะเป็นนักธุรกิจกับเขาบ้าง อาจจะยังไม่ชัดนักว่าจะสายไหน
แต่เอาดีทางนี้แน่ๆ...
ก็คงเหมือนกับเพื่อนร่วมรุ่นอีกราว 700 คน ที่ต้องได้ผ่านตากับหนังสือเล่มหนาที่ชื่อว่า
Marketing Management กันไปถ้วนหน้า ไม่ว่าจะอยากผ่านหรือไม่ก็ตาม
และผมก็เชื่อว่านิสิต นักศึกษา อีกล้านแปดคนรอบโลกที่เรียนคณะด้านธุรกิจ
ก็ต้องผ่านตากับเนื้อหาในเล่มนี้กันมาถ้วนหน้า
ฉบับที่ผมได้เปิดอ่านในครั้งแรกนั้นเป็นฉบับ Millennium Edition (ถ้าผมจำไม่ผิด)
ตอนนั้น รู้สึกว่า โอ้ววว วิชานี้มันช่างใช่เหลือเกิน ถึงแม้ว่าภาษาจะกระดิกตาตามลำบากนิดหนึ่ง แต่ก็เป็นวิชาที่ผมอ่านจบครบเล่ม แม้จะไม่ทุกหน้า แต่อ่านเยอะอยู่ใช่เล่น
ผิดกับอีกหลายๆวิชา ที่ไปพึ่งพาไอ้ร้าน Xerox เอาเสียส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้เลือกเรียนภาคการตลาดในวันนั้น ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางประการ
ผ่านไปอีกเกือบทศวรรษ ผมมีโอกาสได้หยิบจับ Marketing Management อีกครั้งตอนเรียนโท
แต่ครั้งนี้เพื่อนเก่าของผมก็โตขึ้นเช่นกัน จากฉบับนั้น วันนี้เขามาเป็น 13th Edition
เหมือนกับผม ที่ท้ายที่สุดแล้วแม้ไม่ได้เข้าภาคการตลาด
แต่ตอนนี้ก็มาแย่งงานเด็กการตลาดทำอยู่
เพื่อนผมเล่มนี้เริ่มสมสมัย คือเล่น Internet เป็น และ มีการแต่งแต้มตัวเองด้วยเหนื้อหาเกี่ยวกับ Internet อย่างพอได้ Trend...
พอมาหยิบจับอีกครั้ง ก็พาลหวนระลึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ตอนรู้จัก 4p รู้จัก STP รู้จัก Branding
แต่ยอมรับว่าตอนนี้มุมมองที่อ่านเพื่อนเล่มนี้ ได้ต่างไปอย่างมาก
ตอนนั้นเหมือนเพื่อนได้สอนอะไรผมอย่างเดียว
แต่ตอนนี้เหมือนว่าเราคุยกัน และแบ่งปันอะไรๆให้กับมากขึ้น
ถ้ามีคำถามว่าผมรัก TEXT Book เล่มไหนมากที่สุด ไม่ยากเลย...
ก็เล่มนี้น่ะแหละ
ป้ายกำกับ:
การตลาด,
academic,
kevin lane keller,
Marketing Management,
philip kotler,
text book
วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
WARLORD (武神) : จ้าวนักรบกลียุค
ผมเริ่มอ่านการ์ตูนจีนครั้งแรกน่าจะเป็นช่วงตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัย
แน่นอนว่าต้องเป็นของสำนักพิมพ์บูรพัฒน์ (เพราะเป็นเจ้าที่ผมจำได้ว่าเป็นเจ้าที่มาทำให้การ์ตูนจีนดังในไทยอย่างทุกวันนี้)
เรื่องแรกที่อ่านน่าจะเป็น 8 เทพอสูรมังกรฟ้า ของ กิมย้ง
การ์ตูนจีนมีความโดดเด่นในเรื่องของการสร้างจักรวาลของตนเองขึ้นมา
เหมือนกับที่การ์ตูนอเมริกาทำได้
เพียงแต่มันเป็นจินตนาการที่มอบอารมณ์ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับโลกซูเปอร์ฮีโร่ของฝากตะวันตก
เรื่องที่ผมระลึกถึงและอยากเขียนถึงในวันนี้ก็คือ WARLORD ซึ่งคอการ์ตูนจีนในไทยทุกๆคนน่าจะต้องรู้จัก เพราะความล้ำลึกในเนื้อหาที่ผู้เขียน Wan Yat Leung ได้มอบให้กับการ์ตูนเรื่องนี้ มันมีมิติมาก และ ล้ำลึกเหลือเกิน
Wan Yat Leung ได้สร้างโลกอนาคตที่ห่างจากยุคปัจจุบันกว่าหมื่น กว่าแสนปี และมอบการต่อสู้อันเหนือจินตนาการให้กับเหล่านักสู่ Warlord
พวกเขาเหล่านั้นต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด!!
ใครเป็นคอการ์ตูนปล่อยพลัง แต่เบื่อและเริ่มจำเจกับ manga ญี่ปุ่น ลองหา Warlord มาอ่านดูครับ...
คุณจะรู้ว่าการ์ตูนจีน (ฮ่องกง) ก็มันส์ไม่แพ้ใครหน้าไหนในโลก!!!
แน่นอนว่าต้องเป็นของสำนักพิมพ์บูรพัฒน์ (เพราะเป็นเจ้าที่ผมจำได้ว่าเป็นเจ้าที่มาทำให้การ์ตูนจีนดังในไทยอย่างทุกวันนี้)
เรื่องแรกที่อ่านน่าจะเป็น 8 เทพอสูรมังกรฟ้า ของ กิมย้ง
การ์ตูนจีนมีความโดดเด่นในเรื่องของการสร้างจักรวาลของตนเองขึ้นมา
เหมือนกับที่การ์ตูนอเมริกาทำได้
เพียงแต่มันเป็นจินตนาการที่มอบอารมณ์ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับโลกซูเปอร์ฮีโร่ของฝากตะวันตก
เรื่องที่ผมระลึกถึงและอยากเขียนถึงในวันนี้ก็คือ WARLORD ซึ่งคอการ์ตูนจีนในไทยทุกๆคนน่าจะต้องรู้จัก เพราะความล้ำลึกในเนื้อหาที่ผู้เขียน Wan Yat Leung ได้มอบให้กับการ์ตูนเรื่องนี้ มันมีมิติมาก และ ล้ำลึกเหลือเกิน
Wan Yat Leung ได้สร้างโลกอนาคตที่ห่างจากยุคปัจจุบันกว่าหมื่น กว่าแสนปี และมอบการต่อสู้อันเหนือจินตนาการให้กับเหล่านักสู่ Warlord
พวกเขาเหล่านั้นต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด!!
ใครเป็นคอการ์ตูนปล่อยพลัง แต่เบื่อและเริ่มจำเจกับ manga ญี่ปุ่น ลองหา Warlord มาอ่านดูครับ...
คุณจะรู้ว่าการ์ตูนจีน (ฮ่องกง) ก็มันส์ไม่แพ้ใครหน้าไหนในโลก!!!
ป้ายกำกับ:
จ้าวนักรบกลียุค,
บูรพัฒน์,
Action Frame,
Burapat,
Wan Yat Leung,
warlord
วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
Prey : เหยื่อ และ ความทรงจำในสนามบิน
ขณะนี้ผมนั่งเขียนบทความนี้อยู่ในห้องผู้โดยสารขาออกที่สนามบินนานาชาติภูเก็ต ที่เดียวกับที่ผมอ่านหนังสือเรื่อง Prey ของ Michael Crichton เมื่อ ปี 2004
เหตุการณ์คล้ายๆกันคือ ผมมาภูเก็ตแบบเช้าเย็นกลับ
ปีนั้นปีที่ผมมา เกิด Tsunami ที่ป่าตอง
หวังว่าปีนี้...2011 คงจะไม่เกิดอะไรขึ้น
ภูเก็ตในสายตาผมเปลี่ยนไป มันมีบรรยากาศใหม่ๆที่ผมรู้สึกแตกต่างไปจากการมาครั้งที่แล้ว
Prey ในสายตาผมก็เช่นกัน มันมีบรรยากาศที่แตกต่างไปจากงานเขียนยุครุ่งเรืองของ Crichton
ผมยกให้ Jurassic park เป็นเพชรยอดมงกุฎของ Crichton
นิยายก่อนหลังนั้นอย่าง Sphere และ Congo ก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้
คือกลุ่มที่มีโครงเรื่อง และ พลังเพียงพอจะไปทำเป็นภาพยนตร์
แตกต่างจาก Prey ซึ่งผมถือว่าเป็นนิยายช่วงหลังของเขา
เนื้อหาและกลิ่นอายของ Science Fiction ยังคละคลุ้ง
แต่มันกลับไปไม่ถึงดังที่นิยายเก่าๆได้เคยไปตั้งมาตรฐานเอาไว้
Prey ยังคงเป็นการรวมเอาองค์ประกอบเด่นๆของ Crichton มาใช้ได้อย่างเหมาะสม
รายละเอียดและข้ออ้างอิงทางวิชาการก็ยังทำได้อย่างดีเช่นเคย
เพียงแต่ขาดอรรถรสบางอย่างที่จะพลักให้มันก้าวต่อไปเหมือนดังที่นิยายรุ่นพี่ๆเคยทำไว้ไม่ได้เท่านั้นเอง
เปิดฉากเรื่องขึ้นมาด้วยสถานการณ์การทดลองวิทยาศาสตร์ที่เปิดเผยไม่ได้ในห้อง lab แห่งหนึ่ง ซึ่งมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้กลุ่มตัวเอกต้องเข้าไปพัวพัน มีปมปริศนาที่ต้องแก้ไข มีสถานการณ์ขับขันที่ต้องเอาตัวรอดให้ผู้อ่านได้ลุ้นระทึกเป็นระยะๆ
ปริศนาทั้งหมดเริ่มทยอยคลายตัวในช่วงกลางๆเรื่องขมวดไปสู่จุดจบ
แต่แก่นเรื่อง และวิธีเล่าเรื่องที่เปิดฉากด้วยตอนท้ายทำให้ส่วนตัวผมรู้สึกว่ามันไม่ประติดประต่อแบบแปลกๆ จึงยังไม่เคยได้หยิบมันขึ้นมาอ่านซ้ำอีกครั้งเลย
พอมานึกถึงบรรยากาศตอนที่อ่านมัน ทำให้ตัวเองรู้สึกแก่ๆยังไงไม่รู้...
เหตุการณ์คล้ายๆกันคือ ผมมาภูเก็ตแบบเช้าเย็นกลับ
ปีนั้นปีที่ผมมา เกิด Tsunami ที่ป่าตอง
หวังว่าปีนี้...2011 คงจะไม่เกิดอะไรขึ้น
ภูเก็ตในสายตาผมเปลี่ยนไป มันมีบรรยากาศใหม่ๆที่ผมรู้สึกแตกต่างไปจากการมาครั้งที่แล้ว
Prey ในสายตาผมก็เช่นกัน มันมีบรรยากาศที่แตกต่างไปจากงานเขียนยุครุ่งเรืองของ Crichton
ผมยกให้ Jurassic park เป็นเพชรยอดมงกุฎของ Crichton
นิยายก่อนหลังนั้นอย่าง Sphere และ Congo ก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้
คือกลุ่มที่มีโครงเรื่อง และ พลังเพียงพอจะไปทำเป็นภาพยนตร์
แตกต่างจาก Prey ซึ่งผมถือว่าเป็นนิยายช่วงหลังของเขา
เนื้อหาและกลิ่นอายของ Science Fiction ยังคละคลุ้ง
แต่มันกลับไปไม่ถึงดังที่นิยายเก่าๆได้เคยไปตั้งมาตรฐานเอาไว้
Prey ยังคงเป็นการรวมเอาองค์ประกอบเด่นๆของ Crichton มาใช้ได้อย่างเหมาะสม
รายละเอียดและข้ออ้างอิงทางวิชาการก็ยังทำได้อย่างดีเช่นเคย
เพียงแต่ขาดอรรถรสบางอย่างที่จะพลักให้มันก้าวต่อไปเหมือนดังที่นิยายรุ่นพี่ๆเคยทำไว้ไม่ได้เท่านั้นเอง
เปิดฉากเรื่องขึ้นมาด้วยสถานการณ์การทดลองวิทยาศาสตร์ที่เปิดเผยไม่ได้ในห้อง lab แห่งหนึ่ง ซึ่งมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้กลุ่มตัวเอกต้องเข้าไปพัวพัน มีปมปริศนาที่ต้องแก้ไข มีสถานการณ์ขับขันที่ต้องเอาตัวรอดให้ผู้อ่านได้ลุ้นระทึกเป็นระยะๆ
ปริศนาทั้งหมดเริ่มทยอยคลายตัวในช่วงกลางๆเรื่องขมวดไปสู่จุดจบ
แต่แก่นเรื่อง และวิธีเล่าเรื่องที่เปิดฉากด้วยตอนท้ายทำให้ส่วนตัวผมรู้สึกว่ามันไม่ประติดประต่อแบบแปลกๆ จึงยังไม่เคยได้หยิบมันขึ้นมาอ่านซ้ำอีกครั้งเลย
พอมานึกถึงบรรยากาศตอนที่อ่านมัน ทำให้ตัวเองรู้สึกแก่ๆยังไงไม่รู้...
ป้ายกำกับ:
นิยายแปล,
Jurassic Park,
Michael crichton,
prey,
science fiction
วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
ความสุขของกะทิ : ความฝันที่สวยงาม ที่อาจไม่มีอยู่ในชีวิตจริง
ในฐานะของผู้อ่าน ผมว่ามีบางอย่างขาดไปสำหรับหนังสือเล่มนี้
ในฐานะนักเขียนผมมองว่ามีบางประเด็นที่ดูไม่สมจริง...
แต่ถ้าถามว่าชอบมั้ย...
ผมว่าผมชอบหนังสือเล่มนี้
มันดูเป็นเรื่องราวที่แอบสุข ปน แอบเศร้าอยู่เล็กๆ
โทนเรื่องมันเหมือนจะอบอุ่น
แต่ผมว่าจริงแล้วไม่ใช่
มันขาดอะไรไปบางอย่าง
งานเขียนของคุณงามพรรณชิ้นนี้จึงสร้างความรู้สึกแปลกๆให้กับผม
เนื้อหาของหนังสือเล่าถึงเด็กสาวชื่อ กะทิ
ที่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับ ตา-ยาย ที่ต่างจังหวัด
ซึ่งทั้ง ตา-ยาย ก็เป็นคนที่เคยทำงานอยู่ในเมือง และ ออกจะดูมีฐานะ และ มีหน้ามีตาอยู่ในระดับหนึ่งจากตำแหน่งหน้าที่การงานของทั้งสอง เพราะอะไรๆในชีวิตของกะทิช่างดูดี และ อบอุ่นเหลือเกิน
ตัวนิยายเรื่องนี้เลยดูเหมือนว่า มีกลิ่นอายการใช้ชีวิตในเทพนิยายหน่อยๆตอนเปิดเรื่อง
แต่จากนั้นเนื้อหาค่อยๆขมวดปมเล่าถึงสาเหตุที่กะทิต้องมาอยู่กับตายาย เล่าถึงแม่ของกะทิ เล่าถึงพ่อ และ ปมที่กะทิสงสัยทั้งหมด
ผมใช้เวลาอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่นาน
พออ่านจบ ยังรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง...
แต่ผมก็ตอบไม่ได้ว่าคืออะไร
...อย่างน้อยผมก็แนะนำให้ลองไปหามาอ่านดู...
ในฐานะนักเขียนผมมองว่ามีบางประเด็นที่ดูไม่สมจริง...
แต่ถ้าถามว่าชอบมั้ย...
ผมว่าผมชอบหนังสือเล่มนี้
มันดูเป็นเรื่องราวที่แอบสุข ปน แอบเศร้าอยู่เล็กๆ
โทนเรื่องมันเหมือนจะอบอุ่น
แต่ผมว่าจริงแล้วไม่ใช่
มันขาดอะไรไปบางอย่าง
งานเขียนของคุณงามพรรณชิ้นนี้จึงสร้างความรู้สึกแปลกๆให้กับผม
เนื้อหาของหนังสือเล่าถึงเด็กสาวชื่อ กะทิ
ที่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับ ตา-ยาย ที่ต่างจังหวัด
ซึ่งทั้ง ตา-ยาย ก็เป็นคนที่เคยทำงานอยู่ในเมือง และ ออกจะดูมีฐานะ และ มีหน้ามีตาอยู่ในระดับหนึ่งจากตำแหน่งหน้าที่การงานของทั้งสอง เพราะอะไรๆในชีวิตของกะทิช่างดูดี และ อบอุ่นเหลือเกิน
ตัวนิยายเรื่องนี้เลยดูเหมือนว่า มีกลิ่นอายการใช้ชีวิตในเทพนิยายหน่อยๆตอนเปิดเรื่อง
แต่จากนั้นเนื้อหาค่อยๆขมวดปมเล่าถึงสาเหตุที่กะทิต้องมาอยู่กับตายาย เล่าถึงแม่ของกะทิ เล่าถึงพ่อ และ ปมที่กะทิสงสัยทั้งหมด
ผมใช้เวลาอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่นาน
พออ่านจบ ยังรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง...
แต่ผมก็ตอบไม่ได้ว่าคืออะไร
...อย่างน้อยผมก็แนะนำให้ลองไปหามาอ่านดู...
ป้ายกำกับ:
กะทิ,
ครอบครัว,
ความรัก,
ความสุขของกะทิ,
งามพรรณ เวชชาชีวะ,
นิยายไทย
วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
Toriko : อาหาร การกิน คือชีวิตของชาวกูร์เมต์
Toriko เปิดตัวด้วยกลิ่นอายแปลกๆ จะเรียกว่าหลงยุคหน่อยๆ
เมื่อเทียบกับการ์ตูนใน Jump อย่างปัจจุบัน
กล่าวคือ
Toriko ดิบเถื่อนเกินไป เมื่อเทียบกับเรื่องที่มีแนวคิดละเอียดอ่อน
อย่าง Naruto หรือ Bleach จะว่าไป กลิ่นอายของ Toriko จะเป็นการ์ตูนยุค 90
เสียมากกว่า คือ เน้นว่ากันตรงๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องปูพื้นอะไรมาก
ซัดกันจะๆไปเลย
เรื่องราวของ Toriko จึงดึงผมกลับไปสู่การ์ตูนแนวสายหลักของ Jump จริงๆ
คือเน้นเวอร์ๆ เน้นสนุก แบบไม่ต้องคิดมาก และเก็บ Level กันไปเรื่อยๆ
แต่ภายใต้ภาพลักษณ์แบบดิบๆที่กล่าวไป
จริงๆแล้ว Toriko แอบซ่อนโครงเรื่องที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ข้างหลังอย่างแยบยล
นั่นคือการสร้างโลกแห่งอาหารการกินอย่าง Gourmet World ขึ้นมาให้ผู้อ่านได้อินไปอย่างไม่รู้ตัว
ตัวเอกคือ Toriko 1 ในจตุรเทพของโ,กกูร์เมต์ ซึ่งคอยค้นหาวัตถุดิบที่แสนจะพิสดารมากมาย
เมื่อนำมาเป็น Full Course ของตน โดยเขาได้พบกับโคมัตสึ พ่อครัวระดับโรงแรม 5 ดาว
ที่แสนจะอ่อนแอ แต่กล้าหาญ ทั้งคู่ต้องฝ่าฟันเหตุการณ์ต่างๆมากมาย
เพื่อได้มาซึ่งสุดยอดของวัตถุดิบ!!!
ตอนนี้ฉบับภาษาไทยแปลออกมาแล้วภายใต้สำนักพิมพ์สยามอินเตอร์ฯ ถึงเล่ม 9
ลองหามาอ่านกันได้ครับ
รับรองไม่ผิดหวัง!!!
เมื่อเทียบกับการ์ตูนใน Jump อย่างปัจจุบัน
กล่าวคือ
Toriko ดิบเถื่อนเกินไป เมื่อเทียบกับเรื่องที่มีแนวคิดละเอียดอ่อน
อย่าง Naruto หรือ Bleach จะว่าไป กลิ่นอายของ Toriko จะเป็นการ์ตูนยุค 90
เสียมากกว่า คือ เน้นว่ากันตรงๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องปูพื้นอะไรมาก
ซัดกันจะๆไปเลย
เรื่องราวของ Toriko จึงดึงผมกลับไปสู่การ์ตูนแนวสายหลักของ Jump จริงๆ
คือเน้นเวอร์ๆ เน้นสนุก แบบไม่ต้องคิดมาก และเก็บ Level กันไปเรื่อยๆ
แต่ภายใต้ภาพลักษณ์แบบดิบๆที่กล่าวไป
จริงๆแล้ว Toriko แอบซ่อนโครงเรื่องที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ข้างหลังอย่างแยบยล
นั่นคือการสร้างโลกแห่งอาหารการกินอย่าง Gourmet World ขึ้นมาให้ผู้อ่านได้อินไปอย่างไม่รู้ตัว
ตัวเอกคือ Toriko 1 ในจตุรเทพของโ,กกูร์เมต์ ซึ่งคอยค้นหาวัตถุดิบที่แสนจะพิสดารมากมาย
เมื่อนำมาเป็น Full Course ของตน โดยเขาได้พบกับโคมัตสึ พ่อครัวระดับโรงแรม 5 ดาว
ที่แสนจะอ่อนแอ แต่กล้าหาญ ทั้งคู่ต้องฝ่าฟันเหตุการณ์ต่างๆมากมาย
เพื่อได้มาซึ่งสุดยอดของวัตถุดิบ!!!
ตอนนี้ฉบับภาษาไทยแปลออกมาแล้วภายใต้สำนักพิมพ์สยามอินเตอร์ฯ ถึงเล่ม 9
ลองหามาอ่านกันได้ครับ
รับรองไม่ผิดหวัง!!!
ป้ายกำกับ:
การ์ตูน,
โทริโกะ,
นักล่า,
อาหาร,
Manga,
mitsutoshi shimabukuro,
Siam Inter Comic,
SIC
วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
เหมืองแร่ : คืออดีตที่กลายเป็นอนาคตมิรู้วาย...
เพราะวันนี้เป็นงานฟุตบอลประเพณี เลือดสีชมพูของผมจะเต้นระริกๆทุกครั้ง
พาลทำให้ผมนึกถึงนวนิยายชั้นเยี่ยมของเด็กจุฬาฯขึ้นมาเรื่องหนึ่ง
ก็คือเรื่อง เหมืองแร่ ของ พี่บัณฑิต อาจินต์ ปัญจพรรค์ ศิลปินแห่งชาติสาขา วรรณศิลป์
พี่อาจินต์เป็นนิสิตที่ถูกรีไทร์จากคณะวิศวะ
จนต้องระหกระเหเร่ร่อนไปเป็นคนงานเหมืองแร่ที่พังงา
หลังจากเหมืองแร่ปิดตัวลง
พี่อาจินต์ก็กลับมาเขียน เรื่องส้ัน ชุดนี้จนครบถ้วนเป็นจำนวน 142 ตอน
ภายในเรื่องสั้นทั้ง 142 ตอนนั้น
ได้ถ่ายทอดความลำเค็ญ ปนสุข ปนเศร้า ที่ขัดเกลาชีวิตของชายหนุ่ม
จนเติบโตเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์
เรื่องสั้นชุดนี้ได้เด็กจุฬาฯอีกคนนำไปถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิลม์ภายใต้ชื่อว่า "มหาลัย' เหมืองแร่"
พอได้อ่านเรื่องสั้นชุดนี้แล้ว
มีหลายตอนที่พูดถึงจุฬาลงกรณ๊์มหาวิทยาลัย
และสิ่งที่มหาลัยของเราได้สอนสั่งเอาไว้
เวลาอ่านทีไร จึงคิดถึงมหาวิทยาลัยเหลือเกิน...
พาลทำให้ผมนึกถึงนวนิยายชั้นเยี่ยมของเด็กจุฬาฯขึ้นมาเรื่องหนึ่ง
ก็คือเรื่อง เหมืองแร่ ของ พี่บัณฑิต อาจินต์ ปัญจพรรค์ ศิลปินแห่งชาติสาขา วรรณศิลป์
พี่อาจินต์เป็นนิสิตที่ถูกรีไทร์จากคณะวิศวะ
จนต้องระหกระเหเร่ร่อนไปเป็นคนงานเหมืองแร่ที่พังงา
หลังจากเหมืองแร่ปิดตัวลง
พี่อาจินต์ก็กลับมาเขียน เรื่องส้ัน ชุดนี้จนครบถ้วนเป็นจำนวน 142 ตอน
ภายในเรื่องสั้นทั้ง 142 ตอนนั้น
ได้ถ่ายทอดความลำเค็ญ ปนสุข ปนเศร้า ที่ขัดเกลาชีวิตของชายหนุ่ม
จนเติบโตเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์
เรื่องสั้นชุดนี้ได้เด็กจุฬาฯอีกคนนำไปถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิลม์ภายใต้ชื่อว่า "มหาลัย' เหมืองแร่"
พอได้อ่านเรื่องสั้นชุดนี้แล้ว
มีหลายตอนที่พูดถึงจุฬาลงกรณ๊์มหาวิทยาลัย
และสิ่งที่มหาลัยของเราได้สอนสั่งเอาไว้
เวลาอ่านทีไร จึงคิดถึงมหาวิทยาลัยเหลือเกิน...
ป้ายกำกับ:
จุฬา,
นิยาย,
ภาพยนตร์,
มหาลัย เหมืองแร่,
เหมืองแร่,
อาจินต์ ปัญจพรรค์
วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
The Beach Stars (ビーチスターズ) : หาดทราย แสงแดด และ บิกินี่
แนวทางของการเอา กีฬา มาใช้เป็นโครงเรื่องในการเขียนการ์ตูนนั้น
เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมากเลยทีเดียวใน Manga
ทั้งเรื่องของ เบสบอล ฟุตบอล กรีฑา และอื่นๆอีกมากมาย
เร็วๆนี้ผมได้โอกาสอ่านเรื่อง The Beach Stars การ์ตูนที่ตอนแรกผมคิดว่าเป็น
การ์ตูนเซอร์วิสธรรมดาๆ แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย!
เนื้อหาของ The Beach Stars นั้นเข้มข้น และน่าสนใจยิ่งนัก
เพียงแต่มันมีรูปสาวในชุด บิกินี่ เยอะซะจนชวนให้เข้าใจผิดเท่านั้นเอง
ครั้งแรกที่ผมไม่ได้ซื้อหามา ก็เพราะคิดว่าเป็นการ์ตูน Service ดาดๆ
แต่พอได้เปิดอ่านแล้ว กลับได้รับอรรถรสและความรู้จากเรื่องราวของ Beach Volley มากขึ้นเป็นอย่างมาก
รายละเอียดของเนื้อหา และความสมจริงของการฝึกซ้อมค่อนข้างทำได้ดีเลยทีเดียว...
ตัวเอกเป็นเด็กสาวที่อกหักจากการเล่น Valley Ball เพราะชมรมถูกปิดไป
เธอจึงพยายามหาสิ่งที่จะคอยยึดเหนี่ยวจิตใจ จนได้พบกับ Beach Valley
และที่ันั่นเอง ก็ได้ทำให้เธอได้พบกับพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ของเธอ...
ปัจจุบันนี้ผมไม่ได้ติดตามว่าภาคสองของเรื่องนี้มีตีพิมพ์ในประเทศไทยหรือเปล่า?
เพราะภาคแรกจะมีเพียง 7 เล่มเท่านั้นครับ :D
เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมากเลยทีเดียวใน Manga
ทั้งเรื่องของ เบสบอล ฟุตบอล กรีฑา และอื่นๆอีกมากมาย
เร็วๆนี้ผมได้โอกาสอ่านเรื่อง The Beach Stars การ์ตูนที่ตอนแรกผมคิดว่าเป็น
การ์ตูนเซอร์วิสธรรมดาๆ แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย!
เนื้อหาของ The Beach Stars นั้นเข้มข้น และน่าสนใจยิ่งนัก
เพียงแต่มันมีรูปสาวในชุด บิกินี่ เยอะซะจนชวนให้เข้าใจผิดเท่านั้นเอง
ครั้งแรกที่ผมไม่ได้ซื้อหามา ก็เพราะคิดว่าเป็นการ์ตูน Service ดาดๆ
แต่พอได้เปิดอ่านแล้ว กลับได้รับอรรถรสและความรู้จากเรื่องราวของ Beach Volley มากขึ้นเป็นอย่างมาก
รายละเอียดของเนื้อหา และความสมจริงของการฝึกซ้อมค่อนข้างทำได้ดีเลยทีเดียว...
ตัวเอกเป็นเด็กสาวที่อกหักจากการเล่น Valley Ball เพราะชมรมถูกปิดไป
เธอจึงพยายามหาสิ่งที่จะคอยยึดเหนี่ยวจิตใจ จนได้พบกับ Beach Valley
และที่ันั่นเอง ก็ได้ทำให้เธอได้พบกับพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ของเธอ...
ปัจจุบันนี้ผมไม่ได้ติดตามว่าภาคสองของเรื่องนี้มีตีพิมพ์ในประเทศไทยหรือเปล่า?
เพราะภาคแรกจะมีเพียง 7 เล่มเท่านั้นครับ :D
ป้ายกำกับ:
การ์ตูน ไทย,
วิบูลย์กิจ,
Manga,
The Beach Star
วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
Yugo : บุรุษเหล็ก
ผมชอบเรื่องราวของการ์ตูนที่เปิดโลกทัศน์ให้เราได้มองเห็นมุมมองใหม่ๆในโลก
โดยเฉพาะการ์ตูนที่เกี่ยวกับวิชาชีพต่างๆนั้น
ผมมักจะเผลอไผลหลวมตัวซื้อหสมาครอบครองเอาไว้เสมอๆ
ไม่ว่าจะเป็นด้านการกีฬา ด้านการปรุงอาหาร หรือ ด้านอื่นๆที่มีเนื้อหาเจาะจงลงไปในอาชีพต่างๆ
แต่มีเรื่องหนึ่งซึ่งโดนใจผมมากๆ
เรื่องนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาชีพนักต่อรอง
เรื่องนั้นมีชื่อว่า Yugo : บุรุษเหล็ก
และหนังสือเรื่องนี้ก็เป็นบุรุษเหล็กสมชื่อจริงๆ
เนื่องจากว่ารัฐบาลประเทศสารขันธ์เคยแบนการ์ตูนเรื่องนี้มาแล้ว
เพราะเนื้อหาที่ล่อแหลมต่ออะไรบางอย่าง... ซึ่งผมก็ยังไม่เข้าใจว่าล่อแหลมต่ออะไร
เรื่องราวของ Yugo ได้พาเราเข้าไปสู่โลกที่ดูเหนือจริงในฉากหลังของเกมส์การเมือง เกมส์สงคราม และ เกมส์เศรษฐกิจในโลก
โดยตัวเอกต้องคอยพยายามหาทางต่อรองเพื่อหลุดพ้นจากเงื่อนไขหายนะอันน่าสะพรึงกลัวในแต่ละตอน
ตัวเอกมักจะต้องเดินทางไปตามประเทศต่างๆในโลก
เพื่อแก้ไขปัญหาที่ไม่มีใครแก้ได้
ด้วยความสามารถของเขา ไม่มีเรื่องใดที่เขาทำการตกลงไม่สำเร็จ
เพราะเขาคือ นักต่อรอง... Yugo
สนใจอยากได้ Yugo การ์ตูนหายากไปไว้ในครอบครอง ติดต่อมาได้เลยครับ
โดยเฉพาะการ์ตูนที่เกี่ยวกับวิชาชีพต่างๆนั้น
ผมมักจะเผลอไผลหลวมตัวซื้อหสมาครอบครองเอาไว้เสมอๆ
ไม่ว่าจะเป็นด้านการกีฬา ด้านการปรุงอาหาร หรือ ด้านอื่นๆที่มีเนื้อหาเจาะจงลงไปในอาชีพต่างๆ
แต่มีเรื่องหนึ่งซึ่งโดนใจผมมากๆ
เรื่องนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาชีพนักต่อรอง
เรื่องนั้นมีชื่อว่า Yugo : บุรุษเหล็ก
และหนังสือเรื่องนี้ก็เป็นบุรุษเหล็กสมชื่อจริงๆ
เนื่องจากว่ารัฐบาลประเทศสารขันธ์เคยแบนการ์ตูนเรื่องนี้มาแล้ว
เพราะเนื้อหาที่ล่อแหลมต่ออะไรบางอย่าง... ซึ่งผมก็ยังไม่เข้าใจว่าล่อแหลมต่ออะไร
เรื่องราวของ Yugo ได้พาเราเข้าไปสู่โลกที่ดูเหนือจริงในฉากหลังของเกมส์การเมือง เกมส์สงคราม และ เกมส์เศรษฐกิจในโลก
โดยตัวเอกต้องคอยพยายามหาทางต่อรองเพื่อหลุดพ้นจากเงื่อนไขหายนะอันน่าสะพรึงกลัวในแต่ละตอน
ตัวเอกมักจะต้องเดินทางไปตามประเทศต่างๆในโลก
เพื่อแก้ไขปัญหาที่ไม่มีใครแก้ได้
ด้วยความสามารถของเขา ไม่มีเรื่องใดที่เขาทำการตกลงไม่สำเร็จ
เพราะเขาคือ นักต่อรอง... Yugo
สนใจอยากได้ Yugo การ์ตูนหายากไปไว้ในครอบครอง ติดต่อมาได้เลยครับ
ป้ายกำกับ:
ยูโก บุรุษเหล็ก,
สยามอินเตอร์,
Manga,
Shinji Makari,
Shu Akana,
SIC,
Yugo
วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
Alive: The Final Evolution (アライブ -最終 進化的 少年-, Araibu - Saishū Shinkateki Shōnen)
หลายๆครั้งที่ผมผ่านแผงหนังสือไปโดยมองข้ามหนังสือหลายๆเรื่อง
จากนั้นก็จะได้ยินคนอื่นพูดถึง...
พูดว่าเรื่องที่ผมพลาดไปนั้น มันเยี่ยมยอดขนาดไหน
Alive: The Final Evolution (アライブ -最終 進化的 少年-, Araibu - Saishū Shinkateki Shōnen) หรือในชื่อภาษาไทยว่า "เผ่าหายนะ คนผ่าเหล่า" ซึ่งจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่เข้าข่ายนี้
ผมมองผ่านมันไปหลายที และแอบคิดไปเองว่ามันคงเป็นการ์ตูน Service เนื้อหาดาด
จนวันหนึ่งมีโอกาสได้อ่านบทความที่พูดถึงหนังสือการ์ตูนเรื่องนี้
...จนอดไม่ได้ ผมเลยไปตามหาการ์ตูนเรื่องนี้มาอ่านอย่างพลาดไม่ได้จริงๆ
เรื่องราวของมนุษย์ที่มีการกลายพันธุ์ในรูปแบบต่างๆนั้นผ่านตาของเราจากภาพยนตร์ Hollywood หลายๆเรื่อง
Alive ก็เช่นกัน การกลายพันธุ์ที่เลี่ยงไม่ได้ และพวกเขาไม่อาจเลือกได้ ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของมนุษย์กลุ่มหนึ่งไปอย่างถาวร
ภาพยนตร์ Action อย่าง X-Men มารวมร่างกับลายเส้นแบบ Manga ญี่ปุ่น คือคำจำกัดความของ การ์ตูนเรื่องนี้
ผมพึ่งอ่านเล่มจบเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
รู้สึกลึกซึ้งถึงปรัชญาบางอย่างที่แฝงไว้ในการ์ตูนเรื่องนี้...
ปรัชญาที่ว่า... คนเราต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป แม้ว่าต้องเผชิญกับความเจ็บช้ำแค่ไหนก็ตาม
จากนั้นก็จะได้ยินคนอื่นพูดถึง...
พูดว่าเรื่องที่ผมพลาดไปนั้น มันเยี่ยมยอดขนาดไหน
Alive: The Final Evolution (アライブ -最終 進化的 少年-, Araibu - Saishū Shinkateki Shōnen) หรือในชื่อภาษาไทยว่า "เผ่าหายนะ คนผ่าเหล่า" ซึ่งจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่เข้าข่ายนี้
ผมมองผ่านมันไปหลายที และแอบคิดไปเองว่ามันคงเป็นการ์ตูน Service เนื้อหาดาด
จนวันหนึ่งมีโอกาสได้อ่านบทความที่พูดถึงหนังสือการ์ตูนเรื่องนี้
...จนอดไม่ได้ ผมเลยไปตามหาการ์ตูนเรื่องนี้มาอ่านอย่างพลาดไม่ได้จริงๆ
เรื่องราวของมนุษย์ที่มีการกลายพันธุ์ในรูปแบบต่างๆนั้นผ่านตาของเราจากภาพยนตร์ Hollywood หลายๆเรื่อง
Alive ก็เช่นกัน การกลายพันธุ์ที่เลี่ยงไม่ได้ และพวกเขาไม่อาจเลือกได้ ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของมนุษย์กลุ่มหนึ่งไปอย่างถาวร
ภาพยนตร์ Action อย่าง X-Men มารวมร่างกับลายเส้นแบบ Manga ญี่ปุ่น คือคำจำกัดความของ การ์ตูนเรื่องนี้
ผมพึ่งอ่านเล่มจบเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
รู้สึกลึกซึ้งถึงปรัชญาบางอย่างที่แฝงไว้ในการ์ตูนเรื่องนี้...
ปรัชญาที่ว่า... คนเราต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป แม้ว่าต้องเผชิญกับความเจ็บช้ำแค่ไหนก็ตาม
ป้ายกำกับ:
ม Alive The Final Evolution,
วิบูลย์กิจ,
Adachitoka,
Araibu,
fantasy,
Manga,
Tadashi Kawashima,
VBK
วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
Percy Jackson and the Olympians : โอลิมปัสบนยอด Empire State
ผมเชื่อว่าเด็กผู้ชายไม่มากก็น้อยจะต้องมีความฝัน ความชื่นชอบเรื่องราว Fantasy อย่างพวกเทพกรีก เทพโรมัน ต่างๆ ...อย่างน้อยพวกที่ชอบ Seiya ก็น่าจะมีแนวโน้มชอบเรื่องของ Percy Jackson เป็นแน่
องค์ประกอบที่มีกลิ่นอายแปลกๆของการเอาเรื่องราวเทพปกรณ์นัมของกรีก มาผนวกกับโลกยุคปัจจุบัน
สร้างบรรยากาศที่ลงตัวอย่างแปลกๆให้กับหนังสือเล่มนี้ อย่างเช่น การย้ายเขาโอลิมปัสมาอยู่บนชั้น 600 ของ Empire State หรือว่าให้ Apollo เทพแห่งดวงอาทิตย์มาขับรถสปอร์ตสีแดงเพลิง เป็นต้น
Percy Jackson ตัวเอกของเรื่องเป็นเด็กธรรมดาๆ ที่ออกจะธรรมดาเกินไปด้วยซ้ำ
ด้วยชีวิตที่ธรรมดาจนมากเกินไปของเขา ทำให้เขาไม่ได้ต่างอะไรกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน
จนกระทั่งเขาได้รับรู้ความลับบางอย่าง ว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงเด็กผู้ชายธรรมดาๆ
แต่เขาเป็นลูกครึ่งเทพเจ้ากับมนุษย์ เหมือนกับวีรบุรุษในตำนานหลายๆคนอย่าง Hercules และ Perceus
ทำให้เขาต้องเข้าไปอยู่อาศัยในค่ายที่เรียกว่า Camp Half Blood ซึ่งเป็นศูนย์รวมของ Demi-Gods อย่างเขา
กลิ่นอายโดยทั่วไปอาจจะคล้ายๆกับ Harry Potter แต่จะต่างไปก็เรื่องของการปรากฎตัวของเหล่าเทพเจ้ากรีกหลายๆองค์ที่คอยเข้ามาสร้างภารกิจต่างๆให้ Percy ไปทำเพื่อกอบกู้โลก
เรื่องราวใน Series นี้มีความยาว 5 เล่ม และผมยืนยันว่าต้องอ่านทั้ง 5 เล่ม คุณถึงจะไม่ตกหล่นรายละเอียดหลายๆอย่างที่ผู้เขียน (Rick Riodan) ได้สอดแทรกเอาตามเนื้อหาในเล่มต่างๆ
ด้วยความดังของ Series นี้ทำให้มีเรื่องราวต่อเนื่องของ Percy Jackson ในชื่อว่า The Heros of Olympus และได้ถูกทำเป็นภาพยนตร์ ซึ่งกำกับโดย Chris Columbus ซึ่งโดยส่วตัวแล้ว ผมไม่ชอบมันเอาเสียเลย...
องค์ประกอบที่มีกลิ่นอายแปลกๆของการเอาเรื่องราวเทพปกรณ์นัมของกรีก มาผนวกกับโลกยุคปัจจุบัน
สร้างบรรยากาศที่ลงตัวอย่างแปลกๆให้กับหนังสือเล่มนี้ อย่างเช่น การย้ายเขาโอลิมปัสมาอยู่บนชั้น 600 ของ Empire State หรือว่าให้ Apollo เทพแห่งดวงอาทิตย์มาขับรถสปอร์ตสีแดงเพลิง เป็นต้น
Percy Jackson ตัวเอกของเรื่องเป็นเด็กธรรมดาๆ ที่ออกจะธรรมดาเกินไปด้วยซ้ำ
ด้วยชีวิตที่ธรรมดาจนมากเกินไปของเขา ทำให้เขาไม่ได้ต่างอะไรกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน
จนกระทั่งเขาได้รับรู้ความลับบางอย่าง ว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงเด็กผู้ชายธรรมดาๆ
แต่เขาเป็นลูกครึ่งเทพเจ้ากับมนุษย์ เหมือนกับวีรบุรุษในตำนานหลายๆคนอย่าง Hercules และ Perceus
ทำให้เขาต้องเข้าไปอยู่อาศัยในค่ายที่เรียกว่า Camp Half Blood ซึ่งเป็นศูนย์รวมของ Demi-Gods อย่างเขา
กลิ่นอายโดยทั่วไปอาจจะคล้ายๆกับ Harry Potter แต่จะต่างไปก็เรื่องของการปรากฎตัวของเหล่าเทพเจ้ากรีกหลายๆองค์ที่คอยเข้ามาสร้างภารกิจต่างๆให้ Percy ไปทำเพื่อกอบกู้โลก
เรื่องราวใน Series นี้มีความยาว 5 เล่ม และผมยืนยันว่าต้องอ่านทั้ง 5 เล่ม คุณถึงจะไม่ตกหล่นรายละเอียดหลายๆอย่างที่ผู้เขียน (Rick Riodan) ได้สอดแทรกเอาตามเนื้อหาในเล่มต่างๆ
ด้วยความดังของ Series นี้ทำให้มีเรื่องราวต่อเนื่องของ Percy Jackson ในชื่อว่า The Heros of Olympus และได้ถูกทำเป็นภาพยนตร์ ซึ่งกำกับโดย Chris Columbus ซึ่งโดยส่วตัวแล้ว ผมไม่ชอบมันเอาเสียเลย...
ป้ายกำกับ:
นิยายแปล,
เพอร์ซี่,
fantasy,
percy jackson,
rick riodan
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)