จริงๆแล้ว หนังสือเล่มนี้มีผู้เขียนเดียวกับหนังสือเรื่อง โจนาธานนกนางนวล (ไม่รู้ชื่อไทยแบบนี้หรือเปล่า) หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า Jonathan Livingston Seagull ซึ่งคนไทยจะรู้จักกันมากกว่า แถมนักร้องเพลงเพื่อชีวิตก็เอาไปแต่งเพลงกันมากมาย
แต่ผมกลับไม่ค่อยชอบ โจนาธานฯ และอ่านไม่จบด้วยซ้ำ
แต่กับ One แล้ว มันเป็นความทรงจำฝังลึกอะไรเป็นพิเศษบางอย่าง ที่ทำให้จดจำมาถึงทุกวันนี้
ครั้งแรกที่อ่านคือช่วงที่ไปอยู่ Summer ที่อังกฤษ ตอนนั้นยังเด็กๆอายุราว 16 ได้ จำได้ว่านี่เป็นหนังสือที่รู้สึกว่าไม่อยากให้จบ และ อยากรู้ตอบจบไปพร้อมๆกัน
พออ่านจบก็รู้สึกเหมือนกับอะไรบางอย่างในชีวิตหายไป แต่ก็ได้บางอย่างเติมกลับมา
เรื่องราวของหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนสองคน ที่ต้องเดินทางผ่านภพต่างๆหลายๆภพ เพื่อพิสูจน์ว่าทั้งสองนั้นมีความรักที่แท้จริงต่อกันขนาดไหน...
คงเป็นเพราะตอนนั้นผมกำลังเรียนรู้เรื่องของความรักอยู่ก็เป็นได้...
จำได้ว่าความชอบหลังจากชมภาพยนตร์ตอนนั้น มันอัดแน่นมากๆๆๆๆๆ จนต้องไปหาหนังสือมาอ่าน ซึ่งตอนนั้นเลยได้ฉบับภาษาอังกฤษมาก่อน... แน่นอนครับ อ่านแทบจะไม่รู้เรื่องเลย (ฮา) จำได้ว่าไม่พ้นบทแรกเลยด้วยมั้ง ผ่านไปครึ่ง ชม. แล้ว
อย่างไรก็ดี ความชอบไม่ได้ลดลงเลย จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีโอกาสหยิบฉวย (ยืม) หนังสือมาจาก Sedtha Jittiarunchai จนได้
จากวันนั้นหนังสือก็ตกอยู่ในมือผมร่วม 10 ปี (พึ่งได้คืนพี่เขาไปไม่นานนี้แหละ ขอบคุณพี่นิวมากๆนะครับ)
หลังจากอ่าน
เป็นครั้งแรกๆในชีวิตที่ทำให้รู้ว่าหนังฮอลลีวู้ดที่แปลงมาจากหนังสือ มักจะสู้หนังสือไม่ได้สักเล่ม (ฮา) และตอนนี้ผมก็ยังไม่เจอหนังเรื่องไหนที่ทำให้ลบความคิดอันนี้ออกไปได้เลยครับ
https://www.goodreads.com/book/show/452196.Jurassic_Park
จำได้ว่าเป็นเรื่องที่อ่านแล้ววางไม่ลงเล่มหนึ่ง และไปอ่านจบที่ชายหาดป่าตองในปีที่เกิดซึนามิใหญ่
ช่วงเวลาที่พลิกหน้าแต่ละทีก็แอบลุ้นไปด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ใครจะเป็นอะไร จะทำยังไงต่อไป และแน่นอนผมเดาตัวร้ายไม่ถูก (ฮา)
จากนั้นฮอลลีวู้ดก็ได้นำหนังสือเล่มนี้... ไปทำหนังครับ (ฮา) โชคดีที่โดยส่วนตัวพอดูแล้วรู้สึกว่า เออ... ไม่แย่นะ
หรือจะเป็นเพราะมี Audrey Tautou แสดงเป็นนางเอกหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ (ยิ้ม)
https://www.goodreads.com/book/show/968.The_Da_Vinci_Code
ผมยืนอ่านตอนจบของหนังสือเล่มนี้ที่แผงส้มตำแถวๆคลองใกล้สุเหร่าบางมะเขือในเย็นวันอาทิตย์วันหนึ่ง
จำได้ว่าพอจบปุ๊ป ก็แทบจะอยากหาเล่มสองมาอ่านต่อทันที แม้ว่าในช่วงสิบเล่มของซีรีย์นั้น จะมีตอนที่ทำให้เบื่อบ้างเซ็งบ้าง แต่มันก็ยังมีมนตร์เสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ผมอยากรู้ตอนจบของซีรีย์นี้
เรื่องราวของหนังสือเล่มนี้คือการเขียนบันทึกของ บ๊อบบี้ เพนดรากอน ตัวเอกของเรื่อง ที่ได้เดินทางผ่านประตูข้ามมิติไปสู่โลกต่างๆ เพื่อไปแก้ไขไม่ให้โลกเหล่านั้นล่มสลาย
ระหว่างการเดินทางของ บ๊อบบี้ ก็ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า ชีวิตนี้ ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆเลย!!!
https://www.goodreads.com/.../833710.The_Merchant_of_Death
ผมมีโอกาสได้เริ่มอ่านภาษาอังกฤษก่อนตั้งแต่ช่วงที่หนังสือออกใหม่ๆ และแน่นอนจนหนังสือแปลไทยเสร็จ ผมก็ยังอ่านไม่จบ (ฮา) เลยต้องหยิบฉบับภาษาไทยที่อุตส่าห์พรีออเดอร์มาอ่าน
ประจวบกับช่วงที่หนังสือส่งมาถึงบ้านตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมกำลังต้องเตรียมตัวสอบมิดเทอมพอดิบพอดี
เป็นเรื่องยากเลยสำหรับเด็กหนุ่มวัยยี่สิบขวบที่จะต้องตัดสินใจในวันนั้น ว่าจะเลือกอ่านอะไรก่อนระหว่าง แฮรี่ เล่มสี่ กับหนังสือสอบ (คิดดูซิครับ ผมจำวิชาสอบไม่ได้ แต่จำได้ว่าตอนนั้นอ่านไปถึงตอนที่แฮรี่ต้องลงไปทำเควสกับพวกเงือก)
และแน่นอน... แฮรี่ชนะครับ
https://www.goodreads.com/.../6.Harry_Potter_and_the...