วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557

หนังสือ 10 เล่มที่คิดถึง... 10 Books to Remember... ตอนที่ 1/2

ได้รับการ TAG เรื่องหนังสือ 10 เล่มที่ชอบมานานแล้วจากเพื่อนนักอ่าน 2 ท่าน คือ ณัฐกร วุฒิชัยพรกุล และ Ran Pravithana (ตามลำดับการ TAG) 
เวลาก็ล่วงเลยจากวันที่ทั้ง 2 ท่าน TAG (ทั้ง 2 ท่าน TAG มาวันเดียวกัน) มานานอยู่ ว่าจะทำๆก็ติดภารกิจขี้เกียจส่วนตัวเลยไม่ได้ลงมือ เช้านี้คิดว่าถ้าไม่ทำก็คงไม่ได้ทำไปตลอด...
เลยคิดถึงหนังสือที่เรียกว่ามีภาพติดตรึงอยู่ในความทรงจำ... ไม่ใช่ชอบที่สุด แต่เป็นหนังสือที่นึกถึง และรู้สึกอะไรบางอย่างตอนอ่านขึ้นมา จำนวน 10 เล่ม ยกเว้นเล่มที่ 1 และ 10 ที่เป็นที่สุดของความทรงจำจริงๆ
มาเริ่มกันเลยดีกว่า...



1. One ผมเชื่อว่ามีคนรู้จักหนังสือเล่มนี้ไม่มาก นอกจากหนอนหนังสือจริงๆ และต้องค่อนข้างชอบอ่านอะไรที่ไม่ตลาด จึงจะรู้จักหนังสือเล่มนี้ได้

จริงๆแล้ว หนังสือเล่มนี้มีผู้เขียนเดียวกับหนังสือเรื่อง โจนาธานนกนางนวล (ไม่รู้ชื่อไทยแบบนี้หรือเปล่า) หรือในชื่อภาษาอังกฤษว่า Jonathan Livingston Seagull ซึ่งคนไทยจะรู้จักกันมากกว่า แถมนักร้องเพลงเพื่อชีวิตก็เอาไปแต่งเพลงกันมากมาย

แต่ผมกลับไม่ค่อยชอบ โจนาธานฯ และอ่านไม่จบด้วยซ้ำ 

แต่กับ One แล้ว มันเป็นความทรงจำฝังลึกอะไรเป็นพิเศษบางอย่าง ที่ทำให้จดจำมาถึงทุกวันนี้

ครั้งแรกที่อ่านคือช่วงที่ไปอยู่ Summer ที่อังกฤษ ตอนนั้นยังเด็กๆอายุราว 16 ได้ จำได้ว่านี่เป็นหนังสือที่รู้สึกว่าไม่อยากให้จบ และ อยากรู้ตอบจบไปพร้อมๆกัน

พออ่านจบก็รู้สึกเหมือนกับอะไรบางอย่างในชีวิตหายไป แต่ก็ได้บางอย่างเติมกลับมา

เรื่องราวของหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนสองคน ที่ต้องเดินทางผ่านภพต่างๆหลายๆภพ เพื่อพิสูจน์ว่าทั้งสองนั้นมีความรักที่แท้จริงต่อกันขนาดไหน...

คงเป็นเพราะตอนนั้นผมกำลังเรียนรู้เรื่องของความรักอยู่ก็เป็นได้...


2. Jurassic Park ความชอบที่ทำให้อยากอ่านหนังสือเล่มนี้ มาจากภาพยนตร์ ถ้าถามผมว่าภาพยนตร์ที่ชอบที่สุดคือหนังเรื่องอะไร ก็ไม่พ้น Jurassic Park 

จำได้ว่าความชอบหลังจากชมภาพยนตร์ตอนนั้น มันอัดแน่นมากๆๆๆๆๆ จนต้องไปหาหนังสือมาอ่าน ซึ่งตอนนั้นเลยได้ฉบับภาษาอังกฤษมาก่อน... แน่นอนครับ อ่านแทบจะไม่รู้เรื่องเลย (ฮา) จำได้ว่าไม่พ้นบทแรกเลยด้วยมั้ง ผ่านไปครึ่ง ชม. แล้ว

อย่างไรก็ดี ความชอบไม่ได้ลดลงเลย จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีโอกาสหยิบฉวย (ยืม) หนังสือมาจาก Sedtha Jittiarunchai จนได้

จากวันนั้นหนังสือก็ตกอยู่ในมือผมร่วม 10 ปี (พึ่งได้คืนพี่เขาไปไม่นานนี้แหละ ขอบคุณพี่นิวมากๆนะครับ)

หลังจากอ่าน

เป็นครั้งแรกๆในชีวิตที่ทำให้รู้ว่าหนังฮอลลีวู้ดที่แปลงมาจากหนังสือ มักจะสู้หนังสือไม่ได้สักเล่ม (ฮา) และตอนนี้ผมก็ยังไม่เจอหนังเรื่องไหนที่ทำให้ลบความคิดอันนี้ออกไปได้เลยครับ

https://www.goodreads.com/book/show/452196.Jurassic_Park

3. The Davinci Code หยิบจับหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาจากบูทอัมรินทร์ในงานหนังสือสักปีหนึ่ง เพราะแค่อยากรู้ว่ามันจะตีความเรื่องที่มาแตะต้องศาสนาคริสต์กลายๆอย่างไรบ้าง และโดยส่วนตัวก็ค่อนข้างชอบหนังสือแนวลึกลับ สืบสวน อิงประวัติศาสตร์ อยู่แล้ว 

จำได้ว่าเป็นเรื่องที่อ่านแล้ววางไม่ลงเล่มหนึ่ง และไปอ่านจบที่ชายหาดป่าตองในปีที่เกิดซึนามิใหญ่

ช่วงเวลาที่พลิกหน้าแต่ละทีก็แอบลุ้นไปด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ใครจะเป็นอะไร จะทำยังไงต่อไป และแน่นอนผมเดาตัวร้ายไม่ถูก (ฮา)

จากนั้นฮอลลีวู้ดก็ได้นำหนังสือเล่มนี้... ไปทำหนังครับ (ฮา) โชคดีที่โดยส่วนตัวพอดูแล้วรู้สึกว่า เออ... ไม่แย่นะ 

หรือจะเป็นเพราะมี Audrey Tautou แสดงเป็นนางเอกหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ (ยิ้ม) 

https://www.goodreads.com/book/show/968.The_Da_Vinci_Code

4. Pendragon Series เล่ม 1 The Merchant of Dead พ่อค้าแห่งความตาย คิดว่าเป็นอีก 1 เรื่องที่ ไม่ค่อยมีคนรู้จัก (ฮา) แต่ผมก็ผูกพันกับซีรีย์นี้ยาวนานมากกว่าห้าปีได้ เป็นหนังสือที่ทำให้ผมต้องเดินไปบูท สนพ. เรือนปัญญา ทุกครั้งที่ไปงานหนังสือฯ (และพอจบซีรีย์สิบเล่มแล้ว เลยไม่ได้แวะไปเลย (ฮา))

ผมยืนอ่านตอนจบของหนังสือเล่มนี้ที่แผงส้มตำแถวๆคลองใกล้สุเหร่าบางมะเขือในเย็นวันอาทิตย์วันหนึ่ง

จำได้ว่าพอจบปุ๊ป ก็แทบจะอยากหาเล่มสองมาอ่านต่อทันที แม้ว่าในช่วงสิบเล่มของซีรีย์นั้น จะมีตอนที่ทำให้เบื่อบ้างเซ็งบ้าง แต่มันก็ยังมีมนตร์เสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ผมอยากรู้ตอนจบของซีรีย์นี้

เรื่องราวของหนังสือเล่มนี้คือการเขียนบันทึกของ บ๊อบบี้ เพนดรากอน ตัวเอกของเรื่อง ที่ได้เดินทางผ่านประตูข้ามมิติไปสู่โลกต่างๆ เพื่อไปแก้ไขไม่ให้โลกเหล่านั้นล่มสลาย

ระหว่างการเดินทางของ บ๊อบบี้ ก็ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า ชีวิตนี้ ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆเลย!!!

https://www.goodreads.com/.../833710.The_Merchant_of_Death

5. Harry Potter and the Goblet of Fire เป็นภาคที่ผมชื่นชอบที่สุดในซีรีย์แฮรี่ เบียดสูสีชนะเล่มสามมานิดนึง

ผมมีโอกาสได้เริ่มอ่านภาษาอังกฤษก่อนตั้งแต่ช่วงที่หนังสือออกใหม่ๆ และแน่นอนจนหนังสือแปลไทยเสร็จ ผมก็ยังอ่านไม่จบ (ฮา) เลยต้องหยิบฉบับภาษาไทยที่อุตส่าห์พรีออเดอร์มาอ่าน

ประจวบกับช่วงที่หนังสือส่งมาถึงบ้านตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมกำลังต้องเตรียมตัวสอบมิดเทอมพอดิบพอดี

เป็นเรื่องยากเลยสำหรับเด็กหนุ่มวัยยี่สิบขวบที่จะต้องตัดสินใจในวันนั้น ว่าจะเลือกอ่านอะไรก่อนระหว่าง แฮรี่ เล่มสี่ กับหนังสือสอบ (คิดดูซิครับ ผมจำวิชาสอบไม่ได้ แต่จำได้ว่าตอนนั้นอ่านไปถึงตอนที่แฮรี่ต้องลงไปทำเควสกับพวกเงือก)

และแน่นอน... แฮรี่ชนะครับ 

https://www.goodreads.com/.../6.Harry_Potter_and_the...

วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

มาเฟียบู๊ลิ้ม ครึ่งหลัง…

ผมเคยเขียนเรื่องของมาเฟียบู๊ลิ้มเล่ม 1-5 ไปแล้วเมื่อเดือนก่อนๆในตอน “มาเฟียบู๊ลิ้ม - การเดินทางของเรื่องราวครึ่งทาง

ตอนนี้ผมอ่านตลุยจนจบครบ 10 เล่มถ้วน

1332997370

มีประเด็นหลายๆยอ่างที่ตกค้่งอยู่ในความคิดมาก

หากเปรียบเทียบกันแล้ว 5 เล่มแรก คือนิยายกำลังภายในที่เอาเรื่องของสัจจนิยมมาผูกผสาน ตื่นเต้น เร้าใจ และตัวเอกน่าสงสาร

ส่วน 5 เล่มหลัง เหมือนกับนิยายสืบสวน ที่เอาเรื่องของกำลังภายในมาผูกเข่าไปซะมากกว่า

รสชาติจึงแตกต่างกันไป

ในช่วงหลังนั้น ผมว่าเรื่องราวดำเนินเรื่องไปเร็ว และตัวละครหลายๆตัวหายไป โดยไม่บอกที่มาที่ไป

ราวกับว่าเรื่องนี้สามารถต่อยอดเขียนออกไปได้อีก เหมือนซีรีย์ของท่านอื่นๆ อย่างท่าน “อุน สุย อัน” ที่มีจักรวาลของตัวละครของตัวเองอยู่

ครึ่งหลัง ความดำหม่นของเรื่องราวจะเริ่มมีมากขึ้น

การล่อหลอก หักหลังกัน จะทำให้เราอยากติดตามจนวางไม่ได้

อ่านๆไป เหมือนว่าผู้เขียนจะพยายามตีแสกหน้าพวกนิยายจีนยุคก่อนๆ เพราะแนวการเดินเรื่องที่หาได้ยากจากนิยายจีนทั่สๆไปนั้น เป็นแนวหลักของเรื่องนี้เลยทีเดียว

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

Catching Fire เด็กสาวผู้มากับไฟ

imgresสำหรับเล่มแรกนั้น (Hunger Game, The) ผมอ่านจบไปในเวลาเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น พอมาคิดถึงเล่มนี้ กลับใช้เวลาค่อนข้างมากพอสมควร จะเรียกว่า ไม่สนุกก็คงไม่ใช่ แต่จะสนุกจนวางไม่ลงเหมือนที่ Stephen King ให้คำนิยมเอาไว้ สำหรับผมก็คงไม่ใช่

ผมมองว่าความดึงดูดที่มีในเล่มแรกนั้น มันแผ่วไปในเล่มนี้

อาจจะเพราะประเด็นหลักๆที่ดูน่าสนใจนั้น มันถูกนำเสนอไปแล้วในเล่มแรก แต่ในเล่ม 2 นั้น การหักมุมจะมีชั้นเชิงมากกว่าหลายขุม

เรื่องราวของเล่ม 2 นั้นเริ่มขึ้นหลังเหตุการณ์มนเล่ม 1 จบไป

แคทนิส นางเอกของเรื่องรอดกลับมาจากเกมส์ล่าชีวิตในครั้งที่แล้ว ก็กลับมาใช้ชีวิตในเขต 12 ของตัวเอง แต่ด้วยการแสดงออกของตนเองที่ไม่เข้าตาชาวแคปิตอลในเล่มแรกนั้น ก็ทำให้เธอถูกจับตาแทบจะทุกฝีก้าวในเมืองของเธอเอง

ความกดดันที่เกิดขึ้น นำไปสู่การตัดสินใจหลายๆอย่างที่เธอต้องทำในเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด การเล่าเรื่องราวต่างๆยังทำได้ดี ตัวหนังสือยังเต็มไปด้วยความกลัวอยู่เช่นเดิม

ในภาคแรกของเล่มนี้ ค่อนข้างเดินไปช้า แต่จะมาเร่งเครื่องตั้งแต่ภาค 2 และ ภาค 3 และในภาค 3 นี่เองที่เริ่มจะเรียกว่า “หยุดไม่ได้” และจะมีปมเรื่องสุดท้ายที่ลิงค์ไปถึงเล่มหน้าครับ

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

The Hunger Game เกมล่าชีวิต

hunger1ไม่เคยรู้จักหนังสือเรื่องนี้มาก่อนเลย ถึงแม้ว่ามันจะถูกแปลมานานหลายปีแล้ว อาจจะเคยเห็นบ้าง แต่ด้วยความสัตย์จริงๆผมคิดว่ามันเป็นแนวอาชญวิทยาซะมากกว่า อาจจะเป็นเพราะผมชอบไปติดกับค่ายสำนักพิมพ์และคิดไปเองว่าค่ายนี้เป็นแนวนู้น แนวนี้ ก็ว่าไป

อย่างไรก็ตามด้วยการะแสที่ภาพยนตร์กำลังมาแรง ผมเลยต้องไปหามาอ่าน แล้วพอได้ลองอ่านก็บอกได้เต็มปากว่าสนุกจริง

โครงเรื่องหลักๆนั้น ผมพูดได้เต็มปากว่ามันคือ Battle Royal ภาคภาษาอังกฤษนั่นเอง

ซึ่งผมยังค่อนข้างสงสัยอยู่นิดหน่อย เพราะผมคิดว่านิยายเล่มนี้เป็นวรรณกรรมเยาวชน แต่ความโหดของมันก็ใช่เล่นเลย

กลิ่นอายหนึงซึ่งปกคลุมไปทั่วหนังสือตลอดเวลาที่ผมอ่านหนังสือเล่มนี้เป็นเวลา 2 วันนั้น ผมว่ามันมีความกลัวแอบแฝงอยู่กับทุกตัวหนังสือ และแอบซ่อนไปด้วยตลกร้ายของนางเอก

หนังสือเล่มนี้ถ่ายทอดการเล่าเรื่องผ่านทางมุมมองของแคตนิสนางเอกวัย 14 ของเรื่อง ทั้งการแดกดัน การคิดเอาชนะ การทำไปตามอารมณ์ ผมมองว่าทุกอย่างนั้นถูกทำไปด้วยสัญชาติญาณดิบในตัวของคน และแน่นอนว่ามีความกลัวอยู่ด้วย

เมื่อเด็กอายุ 12-18 ปี จาก 12 เขตต้องถูกเลือกขึ้นมา แล้วเข่นฆ่ากัน

มันคงหลีกเลี่ยงคำว่าโหดร้ายไม่ได้

แต่เบื้องหลังความโหดร้าย การเอาชีวิตรอด

ก็มีความสนุกตื่นเต้น ลุ้นอยู่ทุกๆบรรทัดที่อ่านเลยทีเดียว…

ปล.อย่างน้อยก็ดีใจที่อ่านจบก่อนหนังเข้า…

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

คนขุดสุสาน บนยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ขอบเส้นระหว่างความจริงและจินตนาการ

13431209หลังจากได้อ่านรหัสลับหลังคาโลกไปแล้ว สยามฯก็คงทำการเกาะกระแสหอบหิ้วนิยายจีนอารมณ์เดียวกันมาล่อหลอกนักอ่านที่ติดใจรหัสลับ

ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่โดนหลอกล่อ ทั้งๆที่ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ซื้อ เพราะกลัวว่าจะติดพันอะไรพร้อมๆกันหลายอย่างจนเกินไป

แต่ไปพลาดยังไงไม่รู้ที่ซื้อมาอ่านจนได้

เรื่องราวของคนขุดสุสานนั้น มีกลิ่นไอคลับคล้ายกับรหัสลับฯอยู่ไม่น้อย แต่โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าความคลับคล้ายหนังสือการ์ตูนของมันก็มีมากอยู่

ผมเคยเขียนไว้ในตอนพูดถึงรื่องรหัสลับฯว่า รหัสลับฯนั้น

“มีกลิ่นไอการผสมผสานระหว่างอินเดียน่า โจนส์, เพชรพระอุมา และ  นิยายจีนกำลังภายใน ผสมปนเปกันหมด”

สำหรับรหัสลับเองนั้น ผมแถมว่ามีพลังจินตนาการของหนังสือการ์ตูน (Manga) เข้าไปอีกด้วย

เนื้อเรื่องพูดถึง หูป๊าอิ อดีตทหารจากกองทัพจีนที่จับผลัดจับผลูไปอ่านบันทึกเรื่องฮวงจุ้ยของตระกูลมา พอมาบวกเล็กผสมน้อยกับความฉลาด (แกมโกง) ของตัวเอง ก็เอาวิชาความรู้เหล่านั้นไปเที่ยวคว่ำชาม หรือขุดสุสานนั่นเอง

ทีนี้ความมันส์มันอยู่ที่การเจาะ ขุด บุก สุสานแต่ละทีนั้น มันเต็มไปด้วยปีศาจ สัตว์ประหลาด ผี และอื่นๆอีกสารพัด ซึ่งจะพาให้เราเตลิดเหมือนอ่านหนังสือการ์ตูนแนวเหนือธรรมชาติสักเล่มอยู่ยังไงยังงั้น

เรื่องราวของการเนื้อหาเดินไปค่อนข้างเร็ว จะติดอยู่ตรงสำนวนแปลที่วัยรุ่นไปหน่อยสำหรับผม และการเชื่อมอารมณ์ทำได้ไม่ดีเท่ารหัสลับฯ แต่อ่านแล้วก็สนุกดี และอยากติดตามไปเรื่อย เรื่องนี้มีเพียง 4 เล่มจบชุดสั้นๆ

ลองหยิบมาอ่านกันก็ไม่น่าจะเสียเวลาอะไร

วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2555

รหัสลับหลังคาโลก ส่วนผสมแปลกตาของนิยายจีนแปลไทย

12056890ผมเริ่มอ่านรหัสลับหลังคาโลกเพราะว่าแฟนผมซื้อมา แล้วก็บอกว่าไม่สนุก วางทิ้งไว้หลายเดือน จนกระทั่งผมเห็นว่าเอามาลองอ่านฆ่าเวลาดีกว่า เนื่องจากตอนนั้นอ่านแนวอื่นๆที่มีจนเบื่อไปหมดแล้ว

พอได้เริ่มอ่านเล่ม 1 กลิ่นไอการผสมผสานระหว่างอินเดียน่า โจนส์, เพชรพระอุมา และ  นิยายจีนกำลังภายใน ก็มาผสมปนเปกันหมด แต่มันก็มาโดนใจผมจนทำให้ต้องรีบออกไปซื้อเล่มที่เหลือมาโดยพลัน ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นไปซื้อมาจนถึงเล่ม 6 เลย และอ่านกันรวดเดียวจบในเวลาไม่กี่วัน

เหตุที่แปลก อาจจะเพราะว่านิยายจีนแนวนี้ ไม่ค่อยได้เข้ามาแปลในไทยเท่าไร ที่ผมเองรู้จัก ก็เรื่องนี้เรื่องแรกเลยด้วยซ้ำ

เรื่องราวเล่าไปถึงการผจญภัยตามหา กิเลนม่วง ซึ่งเป็นสัตว์หายากในตำนาน จากจุดนั้นการเดินทางก็ขยายวงไปสู่การตลามหา พาปาลา หรือ แชงกรีล่า ที่คนต่างเฝ้าคนหากันนั่นเอง

หากว่าคุณพนมเทียนจะให้จิตนาการว่าแผ่นดินไทยจะมีป่าลึกลับที่ทอดยาวเข้าไปทางพม่าถึงทิเบตอะไรเทือกนั้น ที่ราบทิเบตจะมีแผ่นดินลับๆซ่อนอยู่อีกสักแห่งคงไม่ใช่เรื่องแปลก

วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2555

ยิ่งมีดคม คุณก็จะยิ่งเสียน้ำตาน้อยลง

880773เป็นชื่อของหนังสือ Chic Novel เล่มล่าสุดที่ผมอ่านไป หมวดหนังสือหนึ่งที่ผมชอบอ่านมากๆ แม้จะดูสาวๆมากๆก็คือ หมวดนี้แหละครับ

เหตุผลที่ชอบเพราะว่า มันเป็นนิยายที่มักจะมีมุมมองคนละด้านกับผู้ชายอย่างเราโดยสิ้นเชิงเลยน่ะซิครับ มันทำให้เราได้เห็นอะไรในมุมแปลกๆที่บางทีเราคิดไม่ถึง

เรื่องราวของ The Sharper Your Knife, the Less You Cry: Love, Laughter, and Tears at the World's Most Famous Cooking School เล่าถึงชีวิตจริงของแคทลีน ฟลินท์ หญิงสาววัย 36 ปี ที่ถูกอัปเปหิออกจากบริษัทอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แต่เธอกลับคว้าโอกาสนี้มาฉวยเป็นโอกาสไล่ตามความฝันตั้งแต่วัยเด็กคือการเข้าเรียนทำอาหารที่ เลอ กอ ดง เบลอ โรงเรียนสอนทำอาหารระดับโลก

เธอต้องพลิกชีวิตจากพนักงานออฟฟิซที่เคยประสบความสำเร็จ มากลายเป็นนักเรียนอีกครั้ง

เรื่องราวหลังผ้ากันเปื้อน คมมีด และ กระทะ ที่มีฉากหลังเป็นนครต้องมนต์ ปารีส จะทำให้คุณยิ้มไม่หุบตลอดเวลาที่ตัวหนังสือได้ไหลผ่านตาไปอย่างแน่นอน…