วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

Catching Fire เด็กสาวผู้มากับไฟ

imgresสำหรับเล่มแรกนั้น (Hunger Game, The) ผมอ่านจบไปในเวลาเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น พอมาคิดถึงเล่มนี้ กลับใช้เวลาค่อนข้างมากพอสมควร จะเรียกว่า ไม่สนุกก็คงไม่ใช่ แต่จะสนุกจนวางไม่ลงเหมือนที่ Stephen King ให้คำนิยมเอาไว้ สำหรับผมก็คงไม่ใช่

ผมมองว่าความดึงดูดที่มีในเล่มแรกนั้น มันแผ่วไปในเล่มนี้

อาจจะเพราะประเด็นหลักๆที่ดูน่าสนใจนั้น มันถูกนำเสนอไปแล้วในเล่มแรก แต่ในเล่ม 2 นั้น การหักมุมจะมีชั้นเชิงมากกว่าหลายขุม

เรื่องราวของเล่ม 2 นั้นเริ่มขึ้นหลังเหตุการณ์มนเล่ม 1 จบไป

แคทนิส นางเอกของเรื่องรอดกลับมาจากเกมส์ล่าชีวิตในครั้งที่แล้ว ก็กลับมาใช้ชีวิตในเขต 12 ของตัวเอง แต่ด้วยการแสดงออกของตนเองที่ไม่เข้าตาชาวแคปิตอลในเล่มแรกนั้น ก็ทำให้เธอถูกจับตาแทบจะทุกฝีก้าวในเมืองของเธอเอง

ความกดดันที่เกิดขึ้น นำไปสู่การตัดสินใจหลายๆอย่างที่เธอต้องทำในเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด การเล่าเรื่องราวต่างๆยังทำได้ดี ตัวหนังสือยังเต็มไปด้วยความกลัวอยู่เช่นเดิม

ในภาคแรกของเล่มนี้ ค่อนข้างเดินไปช้า แต่จะมาเร่งเครื่องตั้งแต่ภาค 2 และ ภาค 3 และในภาค 3 นี่เองที่เริ่มจะเรียกว่า “หยุดไม่ได้” และจะมีปมเรื่องสุดท้ายที่ลิงค์ไปถึงเล่มหน้าครับ

วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2555

The Hunger Game เกมล่าชีวิต

hunger1ไม่เคยรู้จักหนังสือเรื่องนี้มาก่อนเลย ถึงแม้ว่ามันจะถูกแปลมานานหลายปีแล้ว อาจจะเคยเห็นบ้าง แต่ด้วยความสัตย์จริงๆผมคิดว่ามันเป็นแนวอาชญวิทยาซะมากกว่า อาจจะเป็นเพราะผมชอบไปติดกับค่ายสำนักพิมพ์และคิดไปเองว่าค่ายนี้เป็นแนวนู้น แนวนี้ ก็ว่าไป

อย่างไรก็ตามด้วยการะแสที่ภาพยนตร์กำลังมาแรง ผมเลยต้องไปหามาอ่าน แล้วพอได้ลองอ่านก็บอกได้เต็มปากว่าสนุกจริง

โครงเรื่องหลักๆนั้น ผมพูดได้เต็มปากว่ามันคือ Battle Royal ภาคภาษาอังกฤษนั่นเอง

ซึ่งผมยังค่อนข้างสงสัยอยู่นิดหน่อย เพราะผมคิดว่านิยายเล่มนี้เป็นวรรณกรรมเยาวชน แต่ความโหดของมันก็ใช่เล่นเลย

กลิ่นอายหนึงซึ่งปกคลุมไปทั่วหนังสือตลอดเวลาที่ผมอ่านหนังสือเล่มนี้เป็นเวลา 2 วันนั้น ผมว่ามันมีความกลัวแอบแฝงอยู่กับทุกตัวหนังสือ และแอบซ่อนไปด้วยตลกร้ายของนางเอก

หนังสือเล่มนี้ถ่ายทอดการเล่าเรื่องผ่านทางมุมมองของแคตนิสนางเอกวัย 14 ของเรื่อง ทั้งการแดกดัน การคิดเอาชนะ การทำไปตามอารมณ์ ผมมองว่าทุกอย่างนั้นถูกทำไปด้วยสัญชาติญาณดิบในตัวของคน และแน่นอนว่ามีความกลัวอยู่ด้วย

เมื่อเด็กอายุ 12-18 ปี จาก 12 เขตต้องถูกเลือกขึ้นมา แล้วเข่นฆ่ากัน

มันคงหลีกเลี่ยงคำว่าโหดร้ายไม่ได้

แต่เบื้องหลังความโหดร้าย การเอาชีวิตรอด

ก็มีความสนุกตื่นเต้น ลุ้นอยู่ทุกๆบรรทัดที่อ่านเลยทีเดียว…

ปล.อย่างน้อยก็ดีใจที่อ่านจบก่อนหนังเข้า…

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

คนขุดสุสาน บนยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ขอบเส้นระหว่างความจริงและจินตนาการ

13431209หลังจากได้อ่านรหัสลับหลังคาโลกไปแล้ว สยามฯก็คงทำการเกาะกระแสหอบหิ้วนิยายจีนอารมณ์เดียวกันมาล่อหลอกนักอ่านที่ติดใจรหัสลับ

ผมเองก็เป็นหนึ่งในคนที่โดนหลอกล่อ ทั้งๆที่ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ซื้อ เพราะกลัวว่าจะติดพันอะไรพร้อมๆกันหลายอย่างจนเกินไป

แต่ไปพลาดยังไงไม่รู้ที่ซื้อมาอ่านจนได้

เรื่องราวของคนขุดสุสานนั้น มีกลิ่นไอคลับคล้ายกับรหัสลับฯอยู่ไม่น้อย แต่โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าความคลับคล้ายหนังสือการ์ตูนของมันก็มีมากอยู่

ผมเคยเขียนไว้ในตอนพูดถึงรื่องรหัสลับฯว่า รหัสลับฯนั้น

“มีกลิ่นไอการผสมผสานระหว่างอินเดียน่า โจนส์, เพชรพระอุมา และ  นิยายจีนกำลังภายใน ผสมปนเปกันหมด”

สำหรับรหัสลับเองนั้น ผมแถมว่ามีพลังจินตนาการของหนังสือการ์ตูน (Manga) เข้าไปอีกด้วย

เนื้อเรื่องพูดถึง หูป๊าอิ อดีตทหารจากกองทัพจีนที่จับผลัดจับผลูไปอ่านบันทึกเรื่องฮวงจุ้ยของตระกูลมา พอมาบวกเล็กผสมน้อยกับความฉลาด (แกมโกง) ของตัวเอง ก็เอาวิชาความรู้เหล่านั้นไปเที่ยวคว่ำชาม หรือขุดสุสานนั่นเอง

ทีนี้ความมันส์มันอยู่ที่การเจาะ ขุด บุก สุสานแต่ละทีนั้น มันเต็มไปด้วยปีศาจ สัตว์ประหลาด ผี และอื่นๆอีกสารพัด ซึ่งจะพาให้เราเตลิดเหมือนอ่านหนังสือการ์ตูนแนวเหนือธรรมชาติสักเล่มอยู่ยังไงยังงั้น

เรื่องราวของการเนื้อหาเดินไปค่อนข้างเร็ว จะติดอยู่ตรงสำนวนแปลที่วัยรุ่นไปหน่อยสำหรับผม และการเชื่อมอารมณ์ทำได้ไม่ดีเท่ารหัสลับฯ แต่อ่านแล้วก็สนุกดี และอยากติดตามไปเรื่อย เรื่องนี้มีเพียง 4 เล่มจบชุดสั้นๆ

ลองหยิบมาอ่านกันก็ไม่น่าจะเสียเวลาอะไร

วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2555

รหัสลับหลังคาโลก ส่วนผสมแปลกตาของนิยายจีนแปลไทย

12056890ผมเริ่มอ่านรหัสลับหลังคาโลกเพราะว่าแฟนผมซื้อมา แล้วก็บอกว่าไม่สนุก วางทิ้งไว้หลายเดือน จนกระทั่งผมเห็นว่าเอามาลองอ่านฆ่าเวลาดีกว่า เนื่องจากตอนนั้นอ่านแนวอื่นๆที่มีจนเบื่อไปหมดแล้ว

พอได้เริ่มอ่านเล่ม 1 กลิ่นไอการผสมผสานระหว่างอินเดียน่า โจนส์, เพชรพระอุมา และ  นิยายจีนกำลังภายใน ก็มาผสมปนเปกันหมด แต่มันก็มาโดนใจผมจนทำให้ต้องรีบออกไปซื้อเล่มที่เหลือมาโดยพลัน ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นไปซื้อมาจนถึงเล่ม 6 เลย และอ่านกันรวดเดียวจบในเวลาไม่กี่วัน

เหตุที่แปลก อาจจะเพราะว่านิยายจีนแนวนี้ ไม่ค่อยได้เข้ามาแปลในไทยเท่าไร ที่ผมเองรู้จัก ก็เรื่องนี้เรื่องแรกเลยด้วยซ้ำ

เรื่องราวเล่าไปถึงการผจญภัยตามหา กิเลนม่วง ซึ่งเป็นสัตว์หายากในตำนาน จากจุดนั้นการเดินทางก็ขยายวงไปสู่การตลามหา พาปาลา หรือ แชงกรีล่า ที่คนต่างเฝ้าคนหากันนั่นเอง

หากว่าคุณพนมเทียนจะให้จิตนาการว่าแผ่นดินไทยจะมีป่าลึกลับที่ทอดยาวเข้าไปทางพม่าถึงทิเบตอะไรเทือกนั้น ที่ราบทิเบตจะมีแผ่นดินลับๆซ่อนอยู่อีกสักแห่งคงไม่ใช่เรื่องแปลก

วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2555

ยิ่งมีดคม คุณก็จะยิ่งเสียน้ำตาน้อยลง

880773เป็นชื่อของหนังสือ Chic Novel เล่มล่าสุดที่ผมอ่านไป หมวดหนังสือหนึ่งที่ผมชอบอ่านมากๆ แม้จะดูสาวๆมากๆก็คือ หมวดนี้แหละครับ

เหตุผลที่ชอบเพราะว่า มันเป็นนิยายที่มักจะมีมุมมองคนละด้านกับผู้ชายอย่างเราโดยสิ้นเชิงเลยน่ะซิครับ มันทำให้เราได้เห็นอะไรในมุมแปลกๆที่บางทีเราคิดไม่ถึง

เรื่องราวของ The Sharper Your Knife, the Less You Cry: Love, Laughter, and Tears at the World's Most Famous Cooking School เล่าถึงชีวิตจริงของแคทลีน ฟลินท์ หญิงสาววัย 36 ปี ที่ถูกอัปเปหิออกจากบริษัทอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว แต่เธอกลับคว้าโอกาสนี้มาฉวยเป็นโอกาสไล่ตามความฝันตั้งแต่วัยเด็กคือการเข้าเรียนทำอาหารที่ เลอ กอ ดง เบลอ โรงเรียนสอนทำอาหารระดับโลก

เธอต้องพลิกชีวิตจากพนักงานออฟฟิซที่เคยประสบความสำเร็จ มากลายเป็นนักเรียนอีกครั้ง

เรื่องราวหลังผ้ากันเปื้อน คมมีด และ กระทะ ที่มีฉากหลังเป็นนครต้องมนต์ ปารีส จะทำให้คุณยิ้มไม่หุบตลอดเวลาที่ตัวหนังสือได้ไหลผ่านตาไปอย่างแน่นอน…

วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555

สัจจนิยมนวนิยาย จากมาเฟียบู๊ลิ้ม

1331026493

“คนเมื่อไม่มีเงินทอง สมองนึกถึงแต่ขนมเปี๊ยะช่วยให้อิ่มท้อง ไม่ว่าศีลธรรมจรรยา ตลอดจนมารยาทธรรมเนียมใดล้วนไม่คำนึงถึง แต่พอมีเงินมีอำนาจ ก็เริ่มใฝ่ฝันถึงสิ่งที่ไม่คำนึงนึกถึงมาก่อน”

จาก มาเฟียบูู๊ลิ้ม เล่ม 8

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

Empress Orchid - หลังบัลลังก์ยังมีความลับ…

ได้เริมรู้จักงานของอันฉี หมินจากร้านหนังสือมือ 2 ร้านประจำ เพียงเพราะอยากลองเปลี่ยนบรรยากาศของการอ่านหนังสือที่ติดแฟนตาซีในช่วงนี้ มาเป็นดราม่าพีเรียดหนักๆที่อิงประวัติศาสตร์ดูบ้าง

139254ซึ่งเรื่องที่หยิบมานั้น ก็คือ ราชินี ดอกกล้วยไม้ ซึ่งแปลมาจากต้นฉบับภาษอังกฤษที่ชื่อว่า Empress Orchid

ครั้งแรกที่ผมได้ลองเสพย์ตัวหนังสือเพียงไม่กี่บรรทัดของหนังสือเล่มไม่บาง ไม่หนาเล่มนี้นั้นก็รู้เลยว่า หนังสือเรื่องนี้คือสิ่งที่จะวางไปไม่ลงไปอีกหลายวัน

อันฉี หมิน ไม่ได้ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด

เรื่องราวประวัติศาสตร์ครั้งนี้ถูกเล่าผ่านตัวตนของกล้วยไม้ เด็กสาวที่มีสายเลือกมองโกล
ซึ่งมีโอกาสได้ถวายตัว และกลายมาเป็นจักรพรรดินีชื่อก้องโลก

ซึ่งในมุมมองที่ผมมีต่อพระนางซูสีนั้น
ค่อนข้างเลือนลางมาก จำได้เพียงแต่ว่า
เคยดูภาพยนตร์ซึ่งแสดงโดย หมี เซี๊ยะ? (หรือเปล่า จำไม่ได้เท่าไร)
เพียงแค่นั้น

ด้วยการถ่ายทอดมุมมองใหม่ๆทำให้บรรยากศอีกแบบหนึ่งจากที่เคยได้ยินได้ฟังมา
ซึมซับและชวนติดตามจนยากจะหยุด

การเมืองในวัง การแก่งแยงชิงบัลลังก์ การเปิดประเทศ เป็นเรื่องราวที่น่าติดตาม

กล้วยไม้บอกเล่าเรื่องในมุมมองของเธอ ซึ่งแตกต่างจากเรื่องราวที่เคยได้ยินเกี่ยวกับเธอจากประวัติศาสตร์ฉบับอื่น

หากเพื่อนๆมีความสนใจในช่วงยุคต่อของการเปลี่ยนการปกครองของจีน
และประวัติของซูสีไทเฮา ผู้เลอโฉม และโหดเหี้ยม

คงผ่าน ราชินีดอกกล้วยไม้ไปไม่ได้...