วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

Pendragon : The Reality Bug ในโลกเสมือนที่สมบูรณ์แบบ

ร้างราจากการอัพเรื่องราวเพื่อเป็นบทบันทึกของตัวเองเสียนาน

ร่วมเดือนได้ เพราะงานอะไรหลายๆอย่างทั้งต้นฉบับ ลูกค้าใหม่ และงานแปล
อย่างไรก็ตาม ก็กลับมาแล้วในวันนี้

การเดินทางของ บ๊อบบี้ เริ่มเดินทางมายาวไกลเกือบถึงครึ่งทางเสียที
หลังจากการเอาตัวรอดในยุคที่นิวยอร์คมีมาเฟียครองเมืองในโลกที่ 1

บ๊อบบี้กระโดดข้ามยุคมาสู่โลกใบใหม่ที่ทันสมัยอย่างที่โลกที่ 1 เทียบไม่ได้โดยเด็ดขาด
โลกใบใหม่ ดินแดนแห่งนี้ชื่อว่า วีล๊อกซ์ จะว่าไปก็ทันสมัยซะจนบ๊อบบี้แทบจะปรับตัวเข้าไม่ได้เลย

เพราะคนที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้นั้น
ล้วนแต่เสพย์ติดกับการเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนที่พวกตนสร้างขึ้น
จนละทิ้งการใช้ชีวิตอยู่ในโลกจริงๆเสียนี่!

และเหตุการณ์เหล่านี้ก็คือ จุดเปลี่ยนที่ วีล๊อกซ์ กำลังเผชิญอยู่
เมื่อคนทุกคนละทิ้งการงานจริงๆมุ่งแต่จะเข้าไปอยู่ในโลกที่คล้ายดั่งฝัน

บ๊อบบี้ได้เข้าไปพบนักเดินทางแห่งโลกนี้ด้วยความสับสน พร้อมทั้งต้องพยายามหาว่าจุดเปลี่ยนที่แท้จริงของดินแดนนี้เป็นอย่างไร

ผ่านการผจญภัยเข้าไปในโลกเสมือนเหล่านั้นด้วยตัวเอง
จนเกือบเอาตัวไม่รอด
แถมยังต้องไปพบกับความทรงจำของตัวเองที่เกือบจะลืมไปแล้ว

คงต้องเอาใจช่วยบ๊อบบี้ต่อว่าเขาจะผ่านพ้นเหตุการณ์เหล่านี้ไปได้ยังไง!!!

จนทำให้เมืองของพวกตนรกร้าง และเต็มไปด้วยความว่างเปล่า

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

Pendragon : The Never War - สงครามนิรันดร์

จากการเดินทางในเล่มที่ 2 ของ Pendragon เขาได้ค้นพบถึงความลับยิ่งใหญ่ในโลกแห่งน้ำอย่างคลอรัล และกอบกู้เหตุการณ์ร้ายของ เซนต์เดน ที่ต้องการจะเปลี่ยนดินแดน จากหมู่เกาะแสนสงบ ไปเป็นดินแดนที่แตกแยก

ในเล่ม 3 นี้ บ๊อบบี้ มีโอกาสที่ได้เดินทางกลับมายังโลกอีกครั้งหนึ่ง เสียเพียงอย่างเดียวว่า โลกที่บ๊อบบี้ ได้เดินทางกลับมานั้น มันคนละยุคกับที่บ๊อบบี้จากไปน่ะซิ เพราะเขาต้องกลับไปที่โลกที่ 1 ซึ่งเป็นยุคช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

อดีตไกลจากยุคปัจจุบันที่บ๊อบบี้อยู่

ครั้งนี้บ๊อบบี้ต้องผ่านเหตุการณ์สำคัญ และการติดสินใจที่ว่า จะช่วยคน แล้วต้องเปลี่ยนประวัติศาสตร์ หรือว่าจะไม่เปลี่ยนประวัติศาสตร์แต่ต้องทนเห็นคนนับร้อยตายจากไป

นับเป็นทางเลือกที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งของบ๊อบบี้

ในเล่มนี้บ๊อบบี้ยังจะได้เจอเพื่อนเก่าของลุงเพรส ผู้ซึ่งเป็นผู้ติดตามแห่งโลกที่ 1 แถมยังต้องเสียแหวนนักเดินทางไปอีกด้วย

ต้องมาติดตามกันแล้วว่าบ๊อบบี้จะเอาตัวรอดไปได้ยังไง :D

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

Pendragon : The Lost City of Faar จากดินแดนยุคกลางดำดิ่งสู่ห้วงมหาสมุทรลึกลับ

หลายวันก่อนได้เขียนถึงความปลาบปลื้ม และความตื้นตันเมื่อได้หยิบเล่มจบของซีรีย์นี้มากจากแผงหนังสือในงานหนังสือ

ผ่านมาจนวันก่อนผมมีโอกาสได้อ่านเล่ม 10 ซึ่งเป็นเล่มสุดท้ายจนจบครบถ้วนกระบวนความ
ใน blog ก่อนนั้น ผมได้เขียนไว้ว่าจะเล่าเรื่องของซีรีย์นี้ให้สมบูรณ์ แต่ก็ยังไม่ได้เขียน และยังเอาความประทับใจ (ที่ไม่ดี) เกี่ยวกับนเรศวรภาค 3 มาเล่าสู่กันฟังตัดหน้าไปซะอีก

อย่างไรก็ดี วันนี้จะขอมาเขียนเป็นบันทึกเตือนความจำของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องราวในซีรีย์ Pendragon ในเล่มที่ 2 ที่มีชื่อตอนว่า The Lost City of Far เพื่ดำเนินการเดินทางของ Bobby Pendragon ให้ก้าวหน้าไปอีกนิดหนึ่ง

ในเล่มนี้ Bobby Pendragon ได้เดินทางไปในดินแดนแห่งใหม่ ซึ่งเป็นโลกที่แตกต่างไปจากเดนเดอรอน ดินแดนที่มีกลิ่นอายของยุโรปยุคกลางอย่างสิ้นเชิง โดยจุดหมายครั้งนี้ของ Pendragon ก็คือโลกที่ชื่อว่า คลอรัล ดินแดนที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมไปด้วยทะเล อารมณ์เดียวกับ Water World ก็ไม่ปาน

การเดินทางครั้งใหม่นี้ Bobby ได้พบกับเพื่อนใหม่ หลังจากสูญเสียบุคคลสำคัญไปในภาคที่แล้ว ภารกิจของ Bobby ยังเป็นการหาทางยับยั้งแผนชั่วของเซนต์เดน ตัวร้ายของเรื่อง

Bobby ต้องพบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อเขาต้องเริ่มตัดสินใจอะไรอะไรด้วยตัวเอง แถมยังต้องเป็นผู้นำให้กับนักเดินทางคนใหม่แห่งคลอรัล

การเดินทางครั้งใหม่นี้พา Bobby ให้เดินทางผ่านเกาะกลางน้ำที่ลอยล่องแห่งคลอรัล และดำดิ่งไปสู่ศูนย์กลางแห่งมหาสมุทรแห่งฟาร์...

หลังจากอ่านผ่านไปแล้ว ผมเองก็รู้สึกว่า Bobby นั้นโตขึ้น รวมถึง D.J. Machale ผู้เขียนเองก็เช่นกันที่เติบโตไปสู่การเป็นนักเขียนที่มีฝีไม้ลายมือมากขึ้น

วันพรุ่งนี้มาติดตามการเดินทางของ Bobby กันต่อดีกว่า...

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 3 ยุทธนาวี

"มองอย่างผู้ดู... ผมว่าหนังมีเรื่องเล่ามากเกินไป"

ผมใจจดใจจ่อในการอยากดูหนังเรื่องนี้มากอยู่ในระดับหนึ่ง มากที่สุดในเดือนนี้เลยก็ว่าได้
จึงพยายามรีบจัดแจงหลายๆสิ่งให้เรียบร้อย (บ้าง ไม่เรียบร้อยบ้าง) เพื่อไปจัดจองที่นั่งในโรงภาพยนตร์ ฉลองการเข้าฉายวันแรก

ยอมรับว่าดูเพลินดี สนุกสนาน มีฉากตื่นตาพอตัว
มีฉากตลกสอดแทรกอย่างหนังไทยทั่วไป

และก็ยาวได้อย่างสมใจที่รอคอย

แต่โดยส่วนตัวแล้ว
ผมมองว่าเป็นเพราะผู้สร้าง คิดจะให้มันเป็นภาคคู่หรือเปล่า?
จึงพยายามใส่เรื่องราวที่เยอะมาก
ตัวละครใหม่ๆที่โผล่มาเข้าฉากอีกหลายตัว

และความสัมพันธ์รูปแบบแปลกๆของเหล่าตัวละครในเรื่อง...

ซึ่งมันเหมือนเป็นการเกริ่น และยังไม่ได้เฉลย
มันเลยเหมือนว่ามีเรื่องที่จะบอกเยอะซะเหลือเกิน

ผมชอบภาค 2 มากกว่า
และก็คิดไปวส่าจะได้เห็นยุทธหัตถีที่ภาคนี้

เลยผิดหวังกับความรู้สึกแปลกในหนัง...

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554

Pendragon : 5 ปีที่เรารู้จักกัน จากพ่อค้าแห่งความตาย สู่ทหารหาญแห่งฮัลลา

5 ปีที่แล้ว ราวๆ พศ.2549 ผมมีโอกาสได้หยิบหนังสือแปลเล่มหนึ่งมาจากบูทที่ผมไม่รู้จักหรอกบูทหนึ่งในงานหนังสือ

ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นช่วงเดือน ตค. ปีนั้น
ผมเป็นคนที่ชอบลองอะไรใหม่ๆอยู่แล้ว และตัดสินซื้อหนังสือจากคำโปรย

หลังจากได้อ่านหนังสือเรื่อง "เพนดรากอน - พ่อค้าแห่งความตาย" ซึ่งเป็นเล่ม 1 ของมหากาพย์นิยายเรื่องหนึ่งสำหรับผม

บูทหนังสือที่ผมไม่เคยรู้จัก กลายมาเป็นบูทที่ผมต้องเดินไปหาในงานเป็นบูทแรกๆเสมอๆ
บูทแห่งนั้นคือบูทเรือนปัญญา

จากฉบับแรกที่ผมอ่านนั้น ผมเฝ้ารอดูการเติบโตของ Pendragon ตัวเอกของเรื่องมาตลอดในงานหนังสือทุกๆครั้ง เพราะแต่ละเล่มจะออกในงานหนังสือแต่ละครั้ง ซึ่ง 1 ปีมีงานเพียง 2 ครั้งเท่านั้น

เป็นการรอคอยที่ยาวนานเหลือเกิน

แต่การรอคอยของผมวันนี้มามาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
เพราะเล่ม 10 นั้น อยู่ในมือของผมแล้ววันนี้

ความปลาบปลื้มบางอย่างมันหลั่งไหลออกมา
ผมไล่อ่านมันอย่างใจจดใจจ่อ
และซึมซับกับการเดินทางของ Pendragon ที่ยาวนานเหลือเกิน

จนตัดสินใจว่า 10 blog จากนี้ ก็คือมหากาพย์การเล่าเรื่องการเดินทางของ Pendragon อย่างย่อ
และเป็นการเล่าความทรงจำที่แสนปลาบปลื้ม

เริ่มแรกเลยนั้น Pendragon ก็เป็นเด็กหนุ่มวันมัธยมคนหนึ่ง
ที่มีความอยากเด่นอยากดัง และ อยากมีความรักเหมือนกับหนุ่มๆวัยเดียวกันทั่วไป

แต่วันหนึ่ง เหตุการณ์แปลกๆก็เกิดขึ้นกับเขา
เมื่อลุงเพรส คุณลุงญาติสนิทของเขาได้เข้ามาในชีวิต

พร้อมกับชวนเขาให้เข้าสู่การเดินทางไปสู่การผจญภัยที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน
ผ่านประตูมิติที่เรียกว่า ฟลูม

ฟลูมได้เชื่อมโยงโลกหลายๆดินแดนเข้าด้วยกัน
ดินแดนแรกที่ Pendragon ได้เข้าไปก็คือ เดนเดอรอน ดินแดนที่มีบรรยากาศคล้ายๆกับยุโรปยุคกลาง
ดินแดนแต่ละแห่งที่ Pendragon ต้องไปนั้น กำลังเผชิญกับ จุดเปลี่ยน
ซึ่งจะนำดินแดนไปสู่การสูญสิ้น หรือล่มสลาย
ผู้อยู่เบื้องหลังของการสร้างจุดเปลี่ยนเหล่านี้ก็คือ เซนต์เดน ตัวร้ายของเรื่อง

ซึ่ง เซนต์เดน ก็กลายมาเป็นศัตรูตัวฉกาจที่คอยเข้ามาขัดขวาง Pendragon อยู่ตลอด

นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยาวไกลของ Pendragon ครับ

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554

Coppelion : สามนางฟ้าผ่าโลกนิวเคลียร์ - ฤาเมื่อโลกจะถึงกาลอวสาน

กะว่าจะกลับมาอัพ blog นี้อยู่หลายวัน
แต่งานที่เข้ามามากมายในช่วงนี้ ทั้งโปรเจคใหม่ๆ งานแปล และงานเขียน
ก็ทำให้หัวปั่นกันไปใหญ่
ยิ่งไปกว่านั้น Laptop คู่ใจก็ดันถูกนำไป Format เนื่องจากความหน่วงซึ่งเกิดจากอายุการใช้งานที่ยืนยาวอยู่พอตัว

อีกทั้งไอ้เรื่องการติดตามข่าวสารจากแผ่นดินไหว ซึนามิ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์รั่ว
อีกมากมาย ทำให้หาเวลามาเขียน blog นี้ไม่ได้จริงๆ

พอมานึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นนี้ ก็พาลทำให้ผมนึกถึงการ์ตูนเรื่อง Coppelion : สามนางฟ้าผ่าโลกนิวเคลียร์ ซึ่งมีเหตุการณ์ละม้ายคล้ายคลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นมนตอนนี้เสียเหลือเกิน

เริ่มจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ในโตเกียว จนส่งผลให้เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์รั่วไหลออกมา
จนก่อให้เกิดมลภวะอย่างรุนแรงไปทั้งเขตโตเกียว

ชาวบ้านทั้งโตเกียวจึงต้องอพยพย้ายออกมาจากโตเกียวจนหมด
เพียงแต่ว่า ก็ยังคงมีคนส่วนหนึ่งที่ยังไม่ยอมหนีออกมาจากเขตหายนะนั้น

จนกระทั่ง 16 ปีผ่านมา คนพันธุ์ใหม่ที่เรียกว่า Coppelion ซึ่งถูกสร้างด้วยเทคนิควิศวพันธุกรรมให้มีภูมิคุ้มกันต่อกัมมันตภาพรังสีก็ได้ถูกส่งเข้ามาเพื่อตามหาผู้รอดตายจากเหตุการณ์ครั้งนั้น

พวกเธอต้องเผชิญกับระบบนิเวศที่เกิดใหม่หลังจากเมืองถูกรกร้าง และความลับอันยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในซากเมืองโตเกียว

ความคล้ายคลึงเหล่านี้ ทำให้ผมแอบหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่นตอนนี้เสียจริง!!

ปล.วันนี้เป็นวันแรกของงานหนังสือปี 53 ครับ

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554

คัยโอขิ พลิกตำนานจ้าวสมุทร : สายลม แสงแดด และ การล่องเรือในมหาสมุทรเวิ้งว้าง...

"เพราะว่าขี้เกียจ วันนี้เลยจะขยันมากๆ เพื่อว่าวันหน้า จะได้ขี้เกียจได้อย่างเต็มที่"...
เป็นคำพูดที่ดูมีความมั่นใจในตัวเองอย่างไรไม่รู้
คำพูดนี้เป็นคำพูดของ ฟาน กัมมะ บิเซ็น ตัวเอกของเรื่อง คัยโอขิ
การ์ตูนเรื่องยาวอีกเรื่องหนึ่งที่ผมรอคอยติดตามอย่างเหนียวแน่น

จะว่าไปตอนนี้ ญี่ปุ่น เกิดหายนะครั้งใหญ่ ทั้งแผ่นดินไหว คลื่นซึนามิ
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิด...

คอการ์ตูนหลายๆคน คงแอบคิดกันในใน ว่านักเขียนคนโปรดจะโดนผลกระทบอะไรจากเหตุการณ์นี้บ้างมั้ย

อย่างไรก็ตาม ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้กับชาวญี่ปุ่นที่โดนวิกฤตครั้งนี้ ให้ผ่านพ้นความยากลำบากครั้งใหญ่นี้ไปให้จงได้

กลับมาสู่เรื่องของเรา คัยโอขิ เป็นการ์ตูนที่ผมไม่เคยคิดจะหยิบมาอ่าน
พอซื้อมา ก็แอบรู้สึกเสียใจว่ากูซื้อมาทำไม
จำได้ว่าครั้งนั้นผมซื้อมาพร้อมกันถึง 15 เล่ม
เพราะได้ยินว่ามันดีนักดีหนา

แต่พอเปิดอ่านไปเล่ม สองเล่มแรก
ก็เบื่อ และรู้สึกผิดหวังอยู่ในระดับหนึ่ง...

แต่พออ่านไปๆ
ความล้ำลึกของเนื้อหาเริ่มสร้างสายสัมพันธ์ประหลาดให้ผมติดตามอ่านอย่างใจจดใจจ่อ

เนื้อหาของคัยโอขิว่าด้วยเรื่องราวของชนเผ่าทะเล (ที่จะว่าไปก็คล้ายๆกับ Water World)
ที่ครอบครองมหาสมุทรทั้งโลก และเป็นชนเผ่าที่ทั้งโลกต่างก็ให้ความเกรงขาม

ฟาน กัมมะ บิเซ็น ก็เป็นชาวเผ่าคนหนึ่งที่เข้าร่วมชิงชัยการเป็นผู้นำเผ่าคนใหม่ หรือตำแหน่งที่เรียกว่า "เจ้าสมุทร"

การเดินทางของเขาจึงเริ่มต้นขึ้นจากจุดนี้
ความเด่น และความแหวกแนวของการ์ตูนเรื่องนี้คงไม่พ้น การให้รายละเอียดเกี่ยวกับการล่องเรือที่การ์ตูนเรื่องอื่นคงให้รายละเอียดเทียบเท่าได้ยาก
และการสร้างโลกใบใหม่ (โดยส่วนตัวผม ผมว่ามันเป็นโลกอนาคต ประมาณว่าหลังจากสงครามนิวเคลียร์อะไรแบบนั้น) พร้อมกับระบบสังคมแบบใหม่ขึ้นมา

หากเรียกรูปแบบของการ์ตูนแบบนี้ว่าเป็นแบบไหน
ผมคิดว่ามันเป็นแบบ Slow Starter คือยิ่งอ่านยิ่งมันส์!!!

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

kafka on the shore : คาฟกา วิฬาร์ นาคาตะ - Haruki The Man!!!

ผมเข้าใจว่า นี่คือ นิยาย มูราคามิ เล่มแรกที่ผมรู้จัก
และนี่คงเป็นจุดแรกที่เรียกว่าผมได้รู้จักกับนิยาย Post Modern

ความแปลกประหลาดเป็นคำจำกัดความที่ผมยกให้เป็นคำจำกัดความสำหรับนิยายเรื่องนี้
แต่ความแปลกประหลาดของตัวหนังสือ ก็ไปกันได้อย่างลงตัวกับบรรยากาศเหนือจริงของ Kafka on the Shore

มูราคามิ สร้างตัวละครที่ขาดอะไรบางอย่างให้โลดแล่นอยู่ในเนื้อเรื่อง
แต่ละคนขาดบางสิ่งที่จะเติมเต็มชีวิต เป็นเหล่าคนที่มีรูโหว่
เป็นคนที่มีความเหงาเป็นองค์ประกอบหลักของชีวิต

...นี่เป็นรูปแบบที่โดดเด่นของนิยาย มูราคามิ
ตัวละครที่แปลกแยก เดินสวนกับสังคมอยู่อย่างโดดเดี่ยว
การมาพานพบที่แปลกประหลาด เพื่อจะมีความสัมพันธ์ที่เหนือจริงระหว่างกัน

จากหน้าแรก ถึง หน้าสุดท้ายของ Kafka
ผมสมัครใจกลายเป็นแฟนของ มูราคามิ ในทันที
ราวกับว่า นี่คือสิ่งเติมเต็มชิ้นหนึ่งที่ผมขาดอยู่เช่นกัน...

สำนวนการแปลของคุณนพดล เวชสวัสดิ์ ก็มีกลิ่นอายที่เข้ากันได้ดีกับนิยายของ มูราคามิ อย่างอธิบายไม่ได้

เนื้อเรื่องเล่าถึง นาคาตะ ชายแก่ประหลาดๆที่มีความสามารถแปลกๆ พูดกับแมวได้
การร่วมเดินทางของ นาคาตะ กับ โฮชิโนะ คนขับรถบรรทุกที่จับผลัดจับผลูมาเดินทางร่วมกับ นาคาตะ

ประกอบไปด้วยเรื่องราวที่รายล้อมไปด้วยบรรยากาศแปลกของตัวละครที่โผล่เข้ามาทั้ง บรรณรักษณ์ ที่สับสนทางเพศ หรือมิสซาเอกิที่หยุดอายุตัวเองอยู่ที่ 20 และท้ายที่สุดก็คือ คาฟคา เด็กหนุ่มอายุ 15 ที่หนีออกจากบ้านและชอบการออกกำลังกาย...

เมื่ออ่านจบแล้ว
ผมเองรู้สึกว่า นิยายเรื่องนี้มันยังไม่จบ
แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวของตัวละครต่างๆ
เหมือนกับว่าพวกเขามีชีวิต
และยังคงดำเนินชีวิตอยู่ในโลกของ มูราคามิ ตลอดไป...

“…ขอให้เธออย่าลืมฉัน ถ้าเธอจำฉันได้ตลอดไป ฉันไม่สนใจว่าใครจะลืมฉันไปบ้าง”

วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554

The Hitchhiker's Guide to the Galaxy : บ้า ฮาป่วง ระดับทะลุดาราจักร

"มันคงจะเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าบ้านของเราถูกเวณคืนเพื่อไปทำทางด่วน...
แต่มันคงไม่ใหญ่เท่ากับว่า โลกของเรากำลังจะถูกเวณคืนเพื่อทำทางด่วนจักรวาล!!!"

นี่คือเนื้อหาป่วงๆกวนตับให้ปวดของ "คู่มือท่องกาแล๊คซี่ฉบับนักโบก" หนังสือที่ขายดีที่สุดในจักรวาล
ที่ถูกตีพิมพ์ในปี 1979 ก็นานเอาเรื่องอยู่ แต่ผมพึ่งได้มาหยิบจับเอาจริงๆก็ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้

เคยได้ดูภาพบนยตร์ซึ่งสร้างมากจากหนังสือเล่มนี้
ก็ฮาปวดตับแบบเซลล์สมองกระตุกมาที

พอมาอ่านบทนำ มีแต่คนยืนยันว่า
ตัวหนังนั้น เทียบเท่าไม่ได้เลยกับตัวหนังสือ

พอลองเปิดอ่านดู ก็รู้ว่า Douglas Adams ผู้เขียน เป็นไอ้ตัวป่วงจริงๆ!!!

เพราะลีลาการเขียนของพี่แกนั้น
"มันไม่มีสาระแบบมีสาระ"

มันมีเรื่องราวบอกเล่าของตัวมันเองอย่างเสร็จสรรพ์
แต่ก็หาที่มาที่ไปไม่ได้เลย

ยิ่งมาได้สำนวนแปลของคุณแทนไท ประเสริฐกุล
ผู้แปลที่ดูป่วงพอกันแล้ว
ผมยกให้หนังสือเล่มนี้เป็นของดีประจำเดือนของผมเลย

The Hitchhiker's Guide to the Galaxy เป็นเล่มแรกจาก มหากาพย์ 5 เล่ม
ซึ่ง 4 เล่มแรกนั้น พี่  Adams แกเขียนเอง
แต่แกด่วนลาโลกไปก่อน จึงทำให้นักเขียนอีกท่านผู้รักในผลงานชุดนี้เหลือเกิน
มาขอสานต่อความป่วงให้มันหนักหนาขึ้นในเล่ม 5
นักเขียนที่ว่านี้ก็คือพี่ Eoin Colfer นักเขียนคนโปรดอีกคนของผม
เจ้าของผลงาน Series Artemis Fowl ซึ่งมีแนวที่แปลกไปอีกแบบไม่แพ้กันเช่นกัน

ถ้าใครชอบงาน กวนๆ มุมมองแปลกๆบูดๆเบี้ยวๆของจักรวาล
ไปลองสอยมาอ่านกันครับ ฉบับเมืองไทยพิมพ์โดย Pearl Publishing ซึ่งหาได้ไม่ยากนักในงานหนังสือ ที่จะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้

ขอฝากไว้ก่อนอ่านครับ

"Don't Panic"

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554

มหากาพย์ภูผามหานที : ภาคปฐมบทผู้กล้า

ผมเป็นแฟนนิยายจีน บู๊ เฮี๊ยบ อย่างเหนียวแน่น
อ่านเรื่องดังครบถ้วนทุกเรื่อง
ถกเถียงเรื่องหลักวิชาอยู่เป็นครั้งคราว

และยกสำนวนของ โกว เล้ง มังกรเมรัย
เป็นปรมาจารย์

หาใช่ว่าเดียจฉันท์งานประพันธ์ของท่านอื่น
แต่หนักชอบไปทางสำนวน และการต่อสู้แนวโกว เล้ง มากกว่า

โตมาหลังจากได้เสพย์งานของ โกว เล้ง และ กิม ย้ง ผ่านทาง
ละครโทรทัศน์เสียส่วนมาก

ผมก็ได้เริ่มมารู้จัก หวง อี้ จอมเทพอักษราแห่งบูรพาทิศ
ผ่านทางหนังสือการ์ตูนฮ่องกง ที่เข้ามาตีพิมพ์โดยบูรพัฒน์

จากนั้นก็เริ่มติดตามผลงานของนักเขียนคนอื่นๆมาเรื่อยๆ

จนได้มาพบกับ เฟิง เกอ (บทเพลงแห่งหงส์) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นใหม่
ของมุมมองการอ่านนิยายจีนของผม

เพราะ เฟิง เกอ เอาสิ่งที่ดูแปลกแยกจาก บู๊ เฮี๊ยบ มาเรียงร้อยลงไปในตัวอักษรอย่างลงตัว
ทั้งเรื่องของการนำเอาหลักคณิตศาสตร์มาผนวกกับแผนภาพ ปา กั๋ว

ก่อเกิดวิทยายุทธมหัศจรรย์พันลึกกว่าที่เคยทีจากนิยายจีนเล่มไหนที่ผมอ่าน

ภาคปฐมบทผู้กล้า เป็นจุดเริ่มต้นของมหากาพย์ชุดนี้ ซึ่งมีความยาวเพียง 1 เล่มจบ

เล่าถึงเรื่องราวก่อนกำเนิดของตัวเอกในภาค 2 และเริ่มปูเกริ่นแนวทางวิชาต่างๆเอาไว้
พร้อมทั้งการผูกพันธ์บุณคุณความแค้นที่ล้ำลึกไปสู่ภาค 2

แนวเขียนของ เฟิง เกอ จะหนักไปทาง กิมย้ง มากกว่า โกว เล้ง
นุ่มนวลกว่า ละมุนกว่า

แต่จุดเด่นสำคัญคือเรื่องของยุทธจักรที่แหวกแนวจากเรื่องอื่นๆ
ถึงแม้จะมีช่วงเวลาทับซ้อนกับนิยายจีนเรื่องอื่นๆอยู่

สำหรับผู้สนใจที่จะเริ่มอ่านนิยายจีน เรื่องนี้นับว่าเป็นทางเลือกที่ไม่เลวเช่นกัน...

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

Black Swan : เพราะหนังที่งดงาม ก็ประหนึ่งการอิ่มเอมจากหนังสือเล่มใหญ่...

จริงๆแล้ว blog นี้จะเขียนเอาเฉพาะเรื่องของหนังสือเท่านั้น
เพราะชื่อก็จ่อหัวอยู่ทนโท่ว่า "ติดหนังสือ"
แต่ไอ้ครั้นจะไปเปิด blog ใหม่ก็ ใช่เรื่อง
จึงคิดเป็นว่า เอาเป็นว่า
ดูหนังเรื่องไหนประทับใจ ผมก็จะมาเขียนอะไรบางอย่างเพื่อให้ตัวเองจดจำไว้เป็นบันทึกที่นี่ละกัน

ช่วงหลังงานเยอะเหลือเกิน
จะว่างเว้นมาเขียนทีก็หาเวลาลำบากเหลือ...

ได้ยินชื่อ Black Swan มาช่วงหนึ่งแล้ว
มี blog หนึ่งเขียนถึงแล้วบอกว่างดงามมาก
พาลไปอ่านเรื่องย่อแบบไม่คิดอะไร
ก็เข้าใจว่าเป็นหนังแนว Professionalism ของเหล่า ballerina
ที่ต้องแข่งขันเพื่อแย่งชิงเอาตำแหน่งนักเต้นในบท Swan Queen ซึ่งเป็นบทเอกในเรื่อง Swan Lake

หา Preview ดูแล้ว
ก็ยังพาลคิดว่าใช่อีก...

2-3 วันก่อน แอบติดตาม Oscar ในตอนทำงาน
ก็แอบลุ้นให้ Natalie Portman ได้รับรางวัล Best Actress เพราะความชอบบทบาทของเธอเองส่วนตัว
แต่ก็ยังไม่ได้รู้เรื่องหนังอยู่ดี

วันนี้ตัดสินใจไปดูในโรง

พบว่าหนังงดงามเหลือเกิน
แต่ความงดงามในสายตาผมนั้น มันมาพร้อมอาการอึดอัดที่ยากจะกล่าว

เหมือนจะหายใจลำบาก จะหายใจติดขัดอยู่ตลอดเวลา...

เนื้อเรื่องเล่าถึง Nina Sayers นักเต้นที่มากความสามารถ แต่ขาดซึ่งความกล้า
เธอได้รับเลือกให้แสดงบท Swan Queen ซึ่งล้วนเป็นบทที่นักเต้นทั้งโลกถวิลหา

ด้วยความกดดันต่างๆนานาๆ
กลัวว่าจะเต้นได้ไม่ดี
กลัวว่าจะไม่สามารถทำให้ผู้ชมประทับใจ
กลัวว่าจะมีใครมาแย่งบท...

ทำให้เธอเกิดอาการประสาทหลอนอยู่ตลอดเวลา

ตัวหนังหม่นหมองหน่อยๆ

สะท้อนอาการหายใจไม่เต็มปอดของหนังเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

อาการตอนดูเหมือนกับการกินเหล้า
ที่ทั้งขมทั้งฝาด กลืนยาก
แต่ก็ยังอยาก และฝืนกลืนลงไปอยู่ตลอดเวลา

หลังออกจากโรงมา ก็เหมือนเมาๆค้าง
อิ่มเอม แบบลอยๆ
จะอ้วกแต่ไม่อ้วก...

แต่ก็มีรอยยิ้มแฝงอยู่แบบแปลกบนใบหน้า...

วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

โนงามิ นิวโร : ปีศาจนักสืบเขมือบปริศนา

หากว่าเพื่อนๆเป็นแฟนประจำของการ์ตูนแนวนักสืบ สอบสวน...
โนงามิ นิวโร คงไม่ใช่เรื่องที่เหมาะกับท่านมากนัก...
ถึงแม้ว่า ชื่อหัวทนโท่ภาษาไทยจะเขียนไว้ตัวโตว่า "ปีศาจนักสืบเขมือบปริศนา"

แต่ดีกรีความเป็นการ์ตูนนักสืบของมันนั้นแสนจะต่ำต้อย
ผมว่า % ของมันที่มีความเป็น Suspense นั้น อยู่ที่ราวๆ 20% เท่านั้น...

แต่จุดเด่นที่เด่นกว่าชื่อเรื่องของมันก็คือ
แนวการเขียนของ ยูเซย์ มัตซึอิ ซึ่งตั้งใจจะเขียนการ์ตูนเรื่องนี้ให้ออกมาเป็น
การ์ตูนสยองขวัญเกรด B
ซึ่งผมยืนยันเลย อ.ยูเซย์ ทำได้ดีขั้นเทพเลยทีเดียว

ตัวเอกของเรื่องอย่าง นิวโร นั้นมาอย่างไม่มีที่มาที่ไปเท่าไร
เพียงแต่บอกว่าเป็นปีศาจที่กินปริศนาในโลกปีศาจหมดแล้ว
จึงตัดสินใจขึ้นมาบนโลก ที่น่าจะมีปริศนาน่ากินมากมาย
เพราะคนบนโลกนั้น ช่างชั่วร้ายเหลือเกิน

แนวคิดสุดโต่งประหลาดๆนั้น สร้างแรงดึงดูดน่าสนใจให้กับการ์ตูนเรื่องนี้เป็นอย่างมาก

นิวโรได้พบกับเด็กสาวที่ชื่อว่า คัตซึรางิ ยาโกะ ซึ่งก็แปลกพอๆกับปีศาจที่แปลกแบบนิวโร
ทั้งคู่จับผลัดจับผลูมาทำหน้าที่เป็นนักสืบ เพื่อเป็นหน้ากากให้ นิวโร มีโอกาสได้หาปริศนาได้กินง่ายขึ้น

ความแปลกของมันดึงดูดผู้อ่านกลุ่มใหญ่ได้ดี
ผมเองก็เป็นคนนึงที่เฝ้ารอการออกของมันอยู่อย่างสม่ำเสมอ...

วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

พันธุ์หมาบ้า : Mad Dogs

ผมเริ่มเขียนบทความนี้ตอนตี 3 กับอีก 12 นาที
ด้วยสติครึ่งตื่นครึงหลับ ใช่ เวลาตี 3
เช้าตรู่ของวันที่ 26 กพ.

ผมมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง
ใช่... จะเรียกว่าบ่อยคงไม่ผิด

ถ้าจะพอเรียกช่วงเวลานี้ว่าเพื่อน
ระดับความเป็นเพื่อนของผมกัยเวลานี้ ก็ค่อนข้างสนิทกันทีเดียว

เวลานี้มันปลุกสัญชาติญาณ การเขียนของผมขึ้นมา ด้วยอะไรก็ไม่รู้
ผมอยากจะเขียน เขียน เขียน พ้อมสบถด่าด้วยความรู้สึกที่ล้นพ้น

จะว่าไป เหมือนผมโลดแล่นอยู่ในหนังสือที่ขื่อว่า "พันธุ์หมาบ้า"
ประมาณ 10 ปีที่แล้ว ผมได้รู้จักกับหนังสือเล่มนี้
ไม่อินเท่าไรกับอารมณ์ของการใช้ชีวิตแบบในหนังสือ

รู้สึกเล็กๆว่ามัน Funky ดี
แต่ก็ไม่ได้คิดว่า อยาก หรือ ไม่อยาก ใช้ชีวิต ตามแบบนั้น

ชาติ กอบจิตติ กลั่นเอาประสบการณ์ส่วนหนึ่งมาถ่ายทอดลงหนังสือเล่มนี้อย่างละมุน
ความละมุนของมันผ่านมาทางตัวหนังสือที่ร้อยเรียงเต็มไปด้วยความหยาบกร้าน
แต่อ่านแล้วกลับกลมกลืนพิลึกๆ

คล้ายกับอารมณ์ยามคนรับเอาแอลกอฮอล์ไปทำลายสมองแบบะเวลานี้
ล่องลอยเล็กๆ แต่พยายามจิกเท้าเพื่อเอาตัวไม่ให้หลุดลอยออกไปจากแรงดึงดูดของดาวเคราะห์ดวงนี้

เอาจริงๆ ถามว่าผมประคองตัวได้แค่ไหน ตอนนี้
ดูตามคำผิดที่ผมเขียนเอาก็แล้วกัน
ผมคงไม่แก้ แต่จะเก็บเอาไว้อ่านขำ ตอนตื่นมา

ดูว่า...

มัน บ้า ขนาดไหน...

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

A Long Way Down : เป็นอันตกลง

ผมไม่รู้จัก Nick Hornby เป็นการส่วนตัวก่อนหน้านี้
และตอนนี้ก็ยังไม่ได้รู้จักเขาเป็นการส่วนตัว

แต่ว่าเคยได้ดูหนังที่มาจากหนังสือของเขามาแล้ว 2 เรื่อง คือ About a boy และ High Fidelity ก็รู้สึกแล้วว่า Hornby แม่ง แนวครับ แนวมากๆ

เขามีมุมมองเรื่องง่ายๆให้แหวกได้ ขนาดที่เราคิดกันไม่ถึง มุมมองของเขาทำให้เรารู้ว่าโลกนี้มันมี "อีกด้าน" เสมอ

ใน A long way down พูดถึง กลุ่มเพื่อนซึ่งเกิดขึ้นมาได้เนื่องจากจะไปฆ่าตัวตายพร้อมๆกัน องค์ประกอบแปลกๆ ของนักข่าวที่เคยต้องคดีล่วงละเมิดผู้เยาว์ แม่ม่ายลูกติดที่มีอาการออทิสติค เด็กสาวปากหมา และ อดีตศิลปินวงร๊อค องค์ประกอบที่ไม่ลงตัว ในสถานการณ์ที่ต้องพาพวกเขามาเจอกัน กลั่นกรองเรื่องราวออกมาเป็นนิยายสุดแนวเรื่องนี้

หลังจากอ่านแล้วผมได้มุมมองแนวๆของ Hornby กลับมาคิดอีกหลายๆอย่าง ว่าชีวิต มันไม่ได้มีอะไรง่ายๆทั้งหมด และมันก็ไม่ได้มีอะไรที่ยากเกินไป
ขอเพียงแค่ลองคิดในมุมมองแปลกๆดูบ้าง ก็เท่านั้น... :D

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

DMC : Detroit Metal City

ผมได้อ่านการ์ตูนเรื่องนี้เป็นเพราะผมได้ยินว่าพี่ตรัย ภูมิรัตน์ อ่าน
ผมก็ไม่คิดว่าลุคพี่ตรัยจะอ่านก่ร์ตูนที่แนวขนาดนี้
และแนวขนาดนี้ก็หมายถึงแนว Metal ซะด้วย

DMC หรือ Detroit Metal City เป็นการ์ตูนที่ผมอ่านแล้วรู้สึกถึงความ ดิบ เถื่อน และ เสื่อม แบบแปลกๆ

แต่ในความเถื่อน ดิบ เสื่อม ก็ถ่ายทอดความเป็น Metal ได้อย่างชัดเจนจริงๆ

ก่อนหน้านี้ ผมคิดว่า Metal ก็คือดนตรี Rock แนว ที่ต้องแต่งตัวแปลกๆ ทาหน้าขาวๆ อย่าง KISS

แต่พอได้อ่านแล้ว ผมรู้เลยว่า Metal มันมีอะไรมากกว่านั้นจริงๆ

เรื่องราวของ DMC เริ่มต้นจากเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ด้าน Metal มากมาย เนงิชิ โซอิจิ เขาได้รับขนานนามว่า ท่านเคราเซอร์ที่ 2 สุดยอดแห่ง Metal ผู้ที่ทำได้ทุกๆอย่าง ประหนึ่งปีศาจร้ายแห่ง Metal

แต่ครจะรู้ว่าภายหลังลอกเมคอัพหน้าออก เด็กหนุ่มคนเดียวกันนี้ คือคนที่ชอบดนตรี Swedish Pop
และเป็นเด็กเนิร์ดคนหนึ่งเท่านั้น

เรื่องราวขมวดให้เกิดปมที่ เนงิชิ ต้องเลือกระหว่างการเป็น 2 คาแรคเตอร์ที่ต่างกันสุดขั้วอยู่ตลอดเวลา
ความดังของเรื่องนี้ทำให้ DMC ได้กลายเป็นทั้ง Animation และ ภาพยนตร์ฉบับคนแสดง ที่นำแสดงโดย Kenichi Matsuyama ผู้เคยรับบท L ที่แสนโด่งดังจาก Death Note

ความดังของเรื่องนี้มีมากมายขนาดไหน
มันจะมันส์อย่างไร ลองไปหามาอ่านดูครับ

วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

BERSERK : จากวันนั้น ...ถึงวันนี้

ผมจำไม่ได้อย่างแน่นอนว่าผมได้อ่านมหากาพย์ชิ้นนี้ตั้งแต่เมื่อไร
แต่คร่าวๆมันก็ต้องเป็นช่วงประถมอย่างแน่นอน
การ์ตูนเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นตั้งแต่ปี 1990 จนถึงปัจจุบัน
ใช้เวลาไปแล้วกว่า 21 ปี
แต่มีรวมเล่มออกมาแค่ 35 เล่ม

วันนี้เป็นวันที่ฉบับภาษาไทยเล่ม 35 ออก
ทำให้ผมต้องมาเขียนถึง Berserk ซะหน่อย

เหตุผลที่เรียกว่ามหากาพย์คงเป็นที่มาจาก
1. ความยาวที่ยาวนานมากๆๆๆๆ
2. มันเป็นผลต่อเนื่องที่เราไม่แน่ใจว่า เราจะได้อ่านตอนจบของเรื่องมั้ย เพราะคนเขียนอาจจะตายก่อน

Kentarou Miura ผู้เขียน BERSERK เป็นโอตาคุที่ชอบเล่นเกมส์เป็นอย่างมาก
ทำให้เมื่อทีเกมส์แนวจีบสาวๆออกมา เขาต้องหยุดงบานเขียนเสียทุกครั้งไป

ทั้งๆที่เนื้อหาของ BERSERK นั้น ออกจะเป็นแนว Fantasy ผจญภัย ที่มีกลิ่นอายมืดๆอยู่ทั้งเรื่อง
ขัดแย้งกับรสนิยมของผู้เขียนอย่างชัดเจน!!!

เนื้อหาของเรื่องเป็นการเดินเรื่องที่มี กั๊ซ ตัวเอกของเรื่องเป็นผู้ดำเนินเรื่อง
โดยมีตัวร้านเป็นเพื่อนสนิทของ กั๊ซ ที่ชื่อว่า กรีฟิซ

ซึ่งถ้ามาเปิดอ่านโดยที่ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน
ผู้อ่านใหม่ๆจะพาลเข้าใจผิดไปได้อย่างง่ายดายว่า ตัวร้ายคือ กั๊ซ อย่างแน่นอน

ตอนนี้เนื้อเรื่องออกทะเลไปพอสมควร
ทำให้ผู้อ่านยุคแรกๆถอนตัวไปหลายคน
แต่สำหรับผม
ผมยังแอบหวังลึกว่าจะได้อ่านตอนจบในชีวิตนี้...

วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

GANTZ (ガンツ) : ลูกกลมลึกลับ มนุษย์ต่างดาว และ ความลับของจักรวาล

ในโอกาสที่หนังโรง GANTZ จะเข้าโรงในเร็ววันนี้
ผมเลยอยากพูดถึงความทรงจำเจ๋งๆเกี่ยวกับ Manga เรื่องนี้สักหน่อย

ผมมีโอกาสได้หยิบอ่าน GANTZ เพราะได้ยินว่ามันเป็นการ์ตูนเลือดสาด และ เซอร์วิส
และที่สำคัญมันจะถูกแบน...

ทำให้ผมอยากอ่านเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
หลังจากได้อ่านไป 10 กว่าเล่ม ก็พบว่ามันเป็นการ์ตูนที่มีเรื่องราวบรรเจิดมากๆ
และยังไม่มีทีท่าจะเฉลยความลับต่างๆของเนื้อเรื่องเลยแม้แต่น้อย

โลกของ GANTZ นั้น เป็นโลกที่ซ้อนทับอยู่กับโลกที่เราใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบัน
ผู้ที่จะเข้าสู่ GANTZ ได้นั้น ก็คือผู้ที่ต้องผ่านการเสียชีวิตบนโลกนี้ไปแล้ว 1 ครั้ง
GANTZ จะมอบชีวิตที่ 2 ให้อีกครั้ง โดยต้องแลกกับการต่อสู้กับมนุษย์ต่างดาวหลากหลายพันธุ์

สาระสำคัญของเรื่องก็คือการต่อสู้ การเอาตัวรอด
และมิตรภาพที่จะช่วยให้ทุกๆคนใน GANTZ ผ่านพ้นการต่อสู้ในแต่ละครั้งไปได้

กลิ่นอายของการ์ตูนเรื่องนี้จะค่อนข้าง ดิบ เถื่อน และ 18+ หน่อยๆ
เพราะความโหดในฉากการฆ่า ฉากเลือดสาด ฉากวับๆแวมๆ
จึงไม่ใช่การ์ตูนที่เด็กๆควรจะอ่านและหมกหมุ่นในเวลานี้

แต่ในแง่ของการสร้างงาน
ผู้สร้างได้ให้ความละเอียดอ่อนกับฉากหลังต่างๆเป็นอย่างมาก
แทบทุกฉากนั้นสร้างจาก CG และ Character Design ก็ทำได้เยี่ยม...

ใครเป็นแฟนของ GANTZ อย่าลืมไปติดตามชมในโรงภาพยนตร์นะครับ 10 มีนาคม นี้

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Lord of the Rings : The Fellowship of the ring - ความทรงจำครั้งลางเลือน ก่อนดูหนัง

ผมมานึกถึงเรื่องราวของ LOTR ในวันนี้เนื่องจากผมพึ่งเล่นเกมส์ LOTR บน iPad จบเรียบร้อย
มานั่งย้อนนึกไป ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบในเวลาเพียงแค่ 2-3 วัน จากการไปเที่ยวหัวหินกับครอบครัว

จำได้ว่าผมซื้อหนังสือเมื่อวัน ศุกร์ และอ่านจบในวัน อาทิตย์หรือไม่ก็จันทร์
ในตอนนั้นเป็นฉบับปกแข็งที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์อมรินทร์ ในงานหนังสือช่วงปลายปี

ผมรู้จักหนังสือเรื่องนี้ก็น่าจะเป็นเพราะแรงโปรโมทหนังที่กำลังจะเข้าในปลายปีนั้น (2001)

ด้วยความที่มีความชื่นชมกับเรื่องแนวแฟนตาซีอยู่แล้ว
การรับเอา LOTR มาอ่านนั้นจึงเป็นเรื่องที่ทำได้อย่างง่ายดาย

ครั้งแรกที่ผมเปิดอ่าน...
ผมพูดได้เพียงว่า น่าทึ่ง...
ผมทึ่งในอัจฉริยะภาพของ J.R.R. Tolkien อย่างเหลือล้ำ

ในยุคนั้น ปี 1944-45 กว่า 60 ปีที่ผ่านมา
Tolkien ได้สร้างโลก Middle Earth ขึ้นมาอย่างอลังการ
โลกนั้นเต็มไปด้วยตำนานของตัวมันเอง
จากจุดเริ่มต้น และจุดจบ อย่างชัดเจน

หลากเผ่าพันธุ์ ถูกสรรสร้างให้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในนั้น

เล่มแรกของ LOTR หรือ The Fellowship of the ring เล่าถึงเรื่องของ โฟรโด หนุ่ม (ไม่) น้อย เผ่าพันธุ์ฮอบบิท หรือจะว่าไปคงเป็นคนตัวเล็กๆเผ่าหนึ่ง ที่ต้องรับภาระในการนำแหวนของจอมอสูรเซารอนไปทิ้งลงในภูเขาไฟ เพื่อทำลายและรักษาความสงบสุขของโลก

เล่มแรกจึงเป็นเรื่องราวของการเกริ่นนำ
การรวมตัวกันของเหล่าพันธมิตรแห่งแหวน
และการผจญภัยในเส้นทางที่แสนลำบากยากเย็น...

ผมนังจดจำความประทับใจเหล่านั้นได้ไม่รู้ลืม
และแอบนิยมชมชอบ Tolkien พร้อมยกให้เป็นครูนับจากวันนั้น...

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

The Notebook : แด่ความรักที่อดทนนาน... และทำคุณให้

“ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้  ความรักไม่อิจฉา  ไม่อวดตัว  ไม่หยิ่งผยอง  ไม่หยาบคาย  ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว  ไม่ฉุนเฉียว  ไม่ช่างจดจำความผิด  ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด  แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ  ความรักทนได้ทุกอย่าง แม้ความผิดของคนอื่น  และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ  และมีความหวังอยู่เสมอ  และทนต่อทุกอย่าง”

1 โครินธ์ 13:4-7

ผมอ่าน The Notebook เป็นครั้งแรกจากสำนวนแปลของคุณจิระนันท์ พิตรปรีชา
และนิยายเรื่องนี้ก็ทำให้ผมไปขวนขวายเอานิยายของ Nicholas Sparks มาอ่านอีกหลายเรื่อง
ช่วงนั้นเป็นตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัย
เรียกได้ว่าน้ำตาลในเส้นเลือดล้นปรี่กันไปทีเดียว

หลังจากนั้นผมก็ต้องหยุดอ่านนิยายของ Sparks ไปร่วมปี เพราะความเลี่ยนเกินพิกัดที่ผมเองจะรับได้
แต่ผมยอมรับเลยว่า เขาคือคนที่กลั่นกรองเรื่องรักๆแบบอมเศร้าเหล่านี้มาแปลสภาพเป็นตัวหนังสือได้อย่างไร้ที่ติ

เรื่องราวของความรักที่มันไม่ได้หวานชื่นเหมือนที่เด็กสาวอายุ 17 ฝันไป
เรื่องราวของ Sparks มันมีความจริงปนอยู่มาก

สีชมพูเขาเป็นชมพูหม่นๆหน่อย
เพราะมันเป็นชมพูที่ผ่านการใช้ชีวิต ไม่ใช่ชมพูที่อยู่ในความฝัน

The Notebook ก็มาในทิศทางแบบนี้
เรื่องราวของความห่างชั้นวรรณะของหนุ่มสาว
อุปสรรคขวางกั้นหลายหลาก

การทดสอบของโชคชะตาที่จะบอกได้ว่าทั้งสองควรคู่กันหรือไม่
เรื่องราวผูกปมอย่างงดงาม หวานซึ้ง และเรียกน้ำตาได้ทุกครั้งที่ผมหยิบขึ้นมาอ่าน

สำหรับผมผมยกให้เล่มนี้ คือที่สุดของ Sparks

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Marketing Management : Philip Kotler : เกือบทศวรรษของมุมมอง

ผมมีโอกาสได้รู้จักชื่อของ Philip Kotler เป็นครั้งแรกในรั้วสีฟ้า หลังคาสีชมพู
ก็ตอนที่ตัดสินใจแล้วว่า จะเป็นนักธุรกิจกับเขาบ้าง อาจจะยังไม่ชัดนักว่าจะสายไหน
แต่เอาดีทางนี้แน่ๆ...

ก็คงเหมือนกับเพื่อนร่วมรุ่นอีกราว 700 คน ที่ต้องได้ผ่านตากับหนังสือเล่มหนาที่ชื่อว่า
Marketing Management กันไปถ้วนหน้า ไม่ว่าจะอยากผ่านหรือไม่ก็ตาม

และผมก็เชื่อว่านิสิต นักศึกษา อีกล้านแปดคนรอบโลกที่เรียนคณะด้านธุรกิจ
ก็ต้องผ่านตากับเนื้อหาในเล่มนี้กันมาถ้วนหน้า

ฉบับที่ผมได้เปิดอ่านในครั้งแรกนั้นเป็นฉบับ Millennium Edition (ถ้าผมจำไม่ผิด)
ตอนนั้น รู้สึกว่า โอ้ววว วิชานี้มันช่างใช่เหลือเกิน ถึงแม้ว่าภาษาจะกระดิกตาตามลำบากนิดหนึ่ง แต่ก็เป็นวิชาที่ผมอ่านจบครบเล่ม แม้จะไม่ทุกหน้า แต่อ่านเยอะอยู่ใช่เล่น

ผิดกับอีกหลายๆวิชา ที่ไปพึ่งพาไอ้ร้าน Xerox เอาเสียส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้เลือกเรียนภาคการตลาดในวันนั้น ด้วยเหตุผลส่วนตัวบางประการ

ผ่านไปอีกเกือบทศวรรษ ผมมีโอกาสได้หยิบจับ Marketing Management อีกครั้งตอนเรียนโท
แต่ครั้งนี้เพื่อนเก่าของผมก็โตขึ้นเช่นกัน จากฉบับนั้น วันนี้เขามาเป็น 13th Edition
เหมือนกับผม ที่ท้ายที่สุดแล้วแม้ไม่ได้เข้าภาคการตลาด
แต่ตอนนี้ก็มาแย่งงานเด็กการตลาดทำอยู่

เพื่อนผมเล่มนี้เริ่มสมสมัย คือเล่น Internet เป็น และ มีการแต่งแต้มตัวเองด้วยเหนื้อหาเกี่ยวกับ Internet อย่างพอได้ Trend...

พอมาหยิบจับอีกครั้ง ก็พาลหวนระลึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ตอนรู้จัก 4p รู้จัก STP รู้จัก Branding
แต่ยอมรับว่าตอนนี้มุมมองที่อ่านเพื่อนเล่มนี้ ได้ต่างไปอย่างมาก

ตอนนั้นเหมือนเพื่อนได้สอนอะไรผมอย่างเดียว
แต่ตอนนี้เหมือนว่าเราคุยกัน และแบ่งปันอะไรๆให้กับมากขึ้น

ถ้ามีคำถามว่าผมรัก TEXT Book เล่มไหนมากที่สุด ไม่ยากเลย...
ก็เล่มนี้น่ะแหละ

วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

WARLORD (武神) : จ้าวนักรบกลียุค

ผมเริ่มอ่านการ์ตูนจีนครั้งแรกน่าจะเป็นช่วงตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัย
แน่นอนว่าต้องเป็นของสำนักพิมพ์บูรพัฒน์ (เพราะเป็นเจ้าที่ผมจำได้ว่าเป็นเจ้าที่มาทำให้การ์ตูนจีนดังในไทยอย่างทุกวันนี้)

เรื่องแรกที่อ่านน่าจะเป็น 8 เทพอสูรมังกรฟ้า ของ กิมย้ง
การ์ตูนจีนมีความโดดเด่นในเรื่องของการสร้างจักรวาลของตนเองขึ้นมา
เหมือนกับที่การ์ตูนอเมริกาทำได้

เพียงแต่มันเป็นจินตนาการที่มอบอารมณ์ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับโลกซูเปอร์ฮีโร่ของฝากตะวันตก

เรื่องที่ผมระลึกถึงและอยากเขียนถึงในวันนี้ก็คือ WARLORD ซึ่งคอการ์ตูนจีนในไทยทุกๆคนน่าจะต้องรู้จัก เพราะความล้ำลึกในเนื้อหาที่ผู้เขียน Wan Yat Leung ได้มอบให้กับการ์ตูนเรื่องนี้ มันมีมิติมาก และ ล้ำลึกเหลือเกิน

Wan Yat Leung ได้สร้างโลกอนาคตที่ห่างจากยุคปัจจุบันกว่าหมื่น กว่าแสนปี และมอบการต่อสู้อันเหนือจินตนาการให้กับเหล่านักสู่ Warlord

พวกเขาเหล่านั้นต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงความเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด!!

ใครเป็นคอการ์ตูนปล่อยพลัง แต่เบื่อและเริ่มจำเจกับ manga ญี่ปุ่น ลองหา Warlord มาอ่านดูครับ...
คุณจะรู้ว่าการ์ตูนจีน (ฮ่องกง) ก็มันส์ไม่แพ้ใครหน้าไหนในโลก!!!

วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Prey : เหยื่อ และ ความทรงจำในสนามบิน

ขณะนี้ผมนั่งเขียนบทความนี้อยู่ในห้องผู้โดยสารขาออกที่สนามบินนานาชาติภูเก็ต ที่เดียวกับที่ผมอ่านหนังสือเรื่อง Prey ของ Michael Crichton เมื่อ ปี 2004

เหตุการณ์คล้ายๆกันคือ ผมมาภูเก็ตแบบเช้าเย็นกลับ
ปีนั้นปีที่ผมมา เกิด Tsunami ที่ป่าตอง
หวังว่าปีนี้...2011 คงจะไม่เกิดอะไรขึ้น

ภูเก็ตในสายตาผมเปลี่ยนไป มันมีบรรยากาศใหม่ๆที่ผมรู้สึกแตกต่างไปจากการมาครั้งที่แล้ว
Prey ในสายตาผมก็เช่นกัน มันมีบรรยากาศที่แตกต่างไปจากงานเขียนยุครุ่งเรืองของ Crichton

ผมยกให้ Jurassic park เป็นเพชรยอดมงกุฎของ Crichton
นิยายก่อนหลังนั้นอย่าง Sphere และ Congo ก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้
คือกลุ่มที่มีโครงเรื่อง และ พลังเพียงพอจะไปทำเป็นภาพยนตร์

แตกต่างจาก Prey ซึ่งผมถือว่าเป็นนิยายช่วงหลังของเขา
เนื้อหาและกลิ่นอายของ Science Fiction ยังคละคลุ้ง
แต่มันกลับไปไม่ถึงดังที่นิยายเก่าๆได้เคยไปตั้งมาตรฐานเอาไว้

Prey ยังคงเป็นการรวมเอาองค์ประกอบเด่นๆของ Crichton มาใช้ได้อย่างเหมาะสม
รายละเอียดและข้ออ้างอิงทางวิชาการก็ยังทำได้อย่างดีเช่นเคย

เพียงแต่ขาดอรรถรสบางอย่างที่จะพลักให้มันก้าวต่อไปเหมือนดังที่นิยายรุ่นพี่ๆเคยทำไว้ไม่ได้เท่านั้นเอง

เปิดฉากเรื่องขึ้นมาด้วยสถานการณ์การทดลองวิทยาศาสตร์ที่เปิดเผยไม่ได้ในห้อง lab แห่งหนึ่ง ซึ่งมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้กลุ่มตัวเอกต้องเข้าไปพัวพัน มีปมปริศนาที่ต้องแก้ไข มีสถานการณ์ขับขันที่ต้องเอาตัวรอดให้ผู้อ่านได้ลุ้นระทึกเป็นระยะๆ

ปริศนาทั้งหมดเริ่มทยอยคลายตัวในช่วงกลางๆเรื่องขมวดไปสู่จุดจบ

แต่แก่นเรื่อง และวิธีเล่าเรื่องที่เปิดฉากด้วยตอนท้ายทำให้ส่วนตัวผมรู้สึกว่ามันไม่ประติดประต่อแบบแปลกๆ จึงยังไม่เคยได้หยิบมันขึ้นมาอ่านซ้ำอีกครั้งเลย

พอมานึกถึงบรรยากาศตอนที่อ่านมัน ทำให้ตัวเองรู้สึกแก่ๆยังไงไม่รู้...

วันจันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ความสุขของกะทิ : ความฝันที่สวยงาม ที่อาจไม่มีอยู่ในชีวิตจริง

ในฐานะของผู้อ่าน ผมว่ามีบางอย่างขาดไปสำหรับหนังสือเล่มนี้
ในฐานะนักเขียนผมมองว่ามีบางประเด็นที่ดูไม่สมจริง...

แต่ถ้าถามว่าชอบมั้ย...

ผมว่าผมชอบหนังสือเล่มนี้

มันดูเป็นเรื่องราวที่แอบสุข ปน แอบเศร้าอยู่เล็กๆ

โทนเรื่องมันเหมือนจะอบอุ่น
แต่ผมว่าจริงแล้วไม่ใช่

มันขาดอะไรไปบางอย่าง

งานเขียนของคุณงามพรรณชิ้นนี้จึงสร้างความรู้สึกแปลกๆให้กับผม

เนื้อหาของหนังสือเล่าถึงเด็กสาวชื่อ กะทิ
ที่ต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับ ตา-ยาย ที่ต่างจังหวัด

ซึ่งทั้ง ตา-ยาย ก็เป็นคนที่เคยทำงานอยู่ในเมือง และ ออกจะดูมีฐานะ และ มีหน้ามีตาอยู่ในระดับหนึ่งจากตำแหน่งหน้าที่การงานของทั้งสอง เพราะอะไรๆในชีวิตของกะทิช่างดูดี และ อบอุ่นเหลือเกิน

ตัวนิยายเรื่องนี้เลยดูเหมือนว่า มีกลิ่นอายการใช้ชีวิตในเทพนิยายหน่อยๆตอนเปิดเรื่อง

แต่จากนั้นเนื้อหาค่อยๆขมวดปมเล่าถึงสาเหตุที่กะทิต้องมาอยู่กับตายาย เล่าถึงแม่ของกะทิ เล่าถึงพ่อ และ ปมที่กะทิสงสัยทั้งหมด

ผมใช้เวลาอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่นาน
พออ่านจบ ยังรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง...
แต่ผมก็ตอบไม่ได้ว่าคืออะไร

...อย่างน้อยผมก็แนะนำให้ลองไปหามาอ่านดู...

วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Toriko : อาหาร การกิน คือชีวิตของชาวกูร์เมต์

Toriko เปิดตัวด้วยกลิ่นอายแปลกๆ จะเรียกว่าหลงยุคหน่อยๆ
เมื่อเทียบกับการ์ตูนใน Jump อย่างปัจจุบัน
กล่าวคือ

Toriko ดิบเถื่อนเกินไป เมื่อเทียบกับเรื่องที่มีแนวคิดละเอียดอ่อน
อย่าง Naruto หรือ Bleach จะว่าไป กลิ่นอายของ Toriko จะเป็นการ์ตูนยุค 90
เสียมากกว่า คือ เน้นว่ากันตรงๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่ต้องปูพื้นอะไรมาก
ซัดกันจะๆไปเลย

เรื่องราวของ Toriko จึงดึงผมกลับไปสู่การ์ตูนแนวสายหลักของ Jump จริงๆ
คือเน้นเวอร์ๆ เน้นสนุก แบบไม่ต้องคิดมาก และเก็บ Level กันไปเรื่อยๆ

แต่ภายใต้ภาพลักษณ์แบบดิบๆที่กล่าวไป
จริงๆแล้ว Toriko แอบซ่อนโครงเรื่องที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ข้างหลังอย่างแยบยล
นั่นคือการสร้างโลกแห่งอาหารการกินอย่าง Gourmet World ขึ้นมาให้ผู้อ่านได้อินไปอย่างไม่รู้ตัว

ตัวเอกคือ Toriko 1 ในจตุรเทพของโ,กกูร์เมต์ ซึ่งคอยค้นหาวัตถุดิบที่แสนจะพิสดารมากมาย
เมื่อนำมาเป็น Full Course ของตน โดยเขาได้พบกับโคมัตสึ พ่อครัวระดับโรงแรม 5 ดาว
ที่แสนจะอ่อนแอ แต่กล้าหาญ ทั้งคู่ต้องฝ่าฟันเหตุการณ์ต่างๆมากมาย
เพื่อได้มาซึ่งสุดยอดของวัตถุดิบ!!!

ตอนนี้ฉบับภาษาไทยแปลออกมาแล้วภายใต้สำนักพิมพ์สยามอินเตอร์ฯ ถึงเล่ม 9
ลองหามาอ่านกันได้ครับ

รับรองไม่ผิดหวัง!!!

วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เหมืองแร่ : คืออดีตที่กลายเป็นอนาคตมิรู้วาย...

เพราะวันนี้เป็นงานฟุตบอลประเพณี เลือดสีชมพูของผมจะเต้นระริกๆทุกครั้ง
พาลทำให้ผมนึกถึงนวนิยายชั้นเยี่ยมของเด็กจุฬาฯขึ้นมาเรื่องหนึ่ง
ก็คือเรื่อง เหมืองแร่ ของ พี่บัณฑิต อาจินต์ ปัญจพรรค์ ศิลปินแห่งชาติสาขา วรรณศิลป์

พี่อาจินต์เป็นนิสิตที่ถูกรีไทร์จากคณะวิศวะ
จนต้องระหกระเหเร่ร่อนไปเป็นคนงานเหมืองแร่ที่พังงา
หลังจากเหมืองแร่ปิดตัวลง
พี่อาจินต์ก็กลับมาเขียน เรื่องส้ัน ชุดนี้จนครบถ้วนเป็นจำนวน 142 ตอน

ภายในเรื่องสั้นทั้ง 142 ตอนนั้น
ได้ถ่ายทอดความลำเค็ญ ปนสุข ปนเศร้า ที่ขัดเกลาชีวิตของชายหนุ่ม
จนเติบโตเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์

เรื่องสั้นชุดนี้ได้เด็กจุฬาฯอีกคนนำไปถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิลม์ภายใต้ชื่อว่า "มหาลัย' เหมืองแร่"

พอได้อ่านเรื่องสั้นชุดนี้แล้ว
มีหลายตอนที่พูดถึงจุฬาลงกรณ๊์มหาวิทยาลัย
และสิ่งที่มหาลัยของเราได้สอนสั่งเอาไว้

เวลาอ่านทีไร จึงคิดถึงมหาวิทยาลัยเหลือเกิน...

วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

The Beach Stars (ビーチスターズ) : หาดทราย แสงแดด และ บิกินี่

แนวทางของการเอา กีฬา มาใช้เป็นโครงเรื่องในการเขียนการ์ตูนนั้น
เป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมากเลยทีเดียวใน Manga

ทั้งเรื่องของ เบสบอล ฟุตบอล กรีฑา และอื่นๆอีกมากมาย

เร็วๆนี้ผมได้โอกาสอ่านเรื่อง The Beach Stars การ์ตูนที่ตอนแรกผมคิดว่าเป็น
การ์ตูนเซอร์วิสธรรมดาๆ แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่เลย!

เนื้อหาของ The Beach Stars นั้นเข้มข้น และน่าสนใจยิ่งนัก
เพียงแต่มันมีรูปสาวในชุด บิกินี่ เยอะซะจนชวนให้เข้าใจผิดเท่านั้นเอง
ครั้งแรกที่ผมไม่ได้ซื้อหามา ก็เพราะคิดว่าเป็นการ์ตูน Service ดาดๆ
แต่พอได้เปิดอ่านแล้ว กลับได้รับอรรถรสและความรู้จากเรื่องราวของ Beach Volley มากขึ้นเป็นอย่างมาก

รายละเอียดของเนื้อหา และความสมจริงของการฝึกซ้อมค่อนข้างทำได้ดีเลยทีเดียว...

ตัวเอกเป็นเด็กสาวที่อกหักจากการเล่น Valley Ball เพราะชมรมถูกปิดไป
เธอจึงพยายามหาสิ่งที่จะคอยยึดเหนี่ยวจิตใจ จนได้พบกับ Beach Valley
และที่ันั่นเอง ก็ได้ทำให้เธอได้พบกับพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ของเธอ...

ปัจจุบันนี้ผมไม่ได้ติดตามว่าภาคสองของเรื่องนี้มีตีพิมพ์ในประเทศไทยหรือเปล่า?
เพราะภาคแรกจะมีเพียง 7 เล่มเท่านั้นครับ :D

วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Yugo : บุรุษเหล็ก

ผมชอบเรื่องราวของการ์ตูนที่เปิดโลกทัศน์ให้เราได้มองเห็นมุมมองใหม่ๆในโลก
โดยเฉพาะการ์ตูนที่เกี่ยวกับวิชาชีพต่างๆนั้น
ผมมักจะเผลอไผลหลวมตัวซื้อหสมาครอบครองเอาไว้เสมอๆ

ไม่ว่าจะเป็นด้านการกีฬา ด้านการปรุงอาหาร หรือ ด้านอื่นๆที่มีเนื้อหาเจาะจงลงไปในอาชีพต่างๆ

แต่มีเรื่องหนึ่งซึ่งโดนใจผมมากๆ
เรื่องนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับอาชีพนักต่อรอง

เรื่องนั้นมีชื่อว่า Yugo : บุรุษเหล็ก
และหนังสือเรื่องนี้ก็เป็นบุรุษเหล็กสมชื่อจริงๆ
เนื่องจากว่ารัฐบาลประเทศสารขันธ์เคยแบนการ์ตูนเรื่องนี้มาแล้ว
เพราะเนื้อหาที่ล่อแหลมต่ออะไรบางอย่าง... ซึ่งผมก็ยังไม่เข้าใจว่าล่อแหลมต่ออะไร

เรื่องราวของ Yugo ได้พาเราเข้าไปสู่โลกที่ดูเหนือจริงในฉากหลังของเกมส์การเมือง เกมส์สงคราม และ เกมส์เศรษฐกิจในโลก
โดยตัวเอกต้องคอยพยายามหาทางต่อรองเพื่อหลุดพ้นจากเงื่อนไขหายนะอันน่าสะพรึงกลัวในแต่ละตอน

ตัวเอกมักจะต้องเดินทางไปตามประเทศต่างๆในโลก
เพื่อแก้ไขปัญหาที่ไม่มีใครแก้ได้
ด้วยความสามารถของเขา ไม่มีเรื่องใดที่เขาทำการตกลงไม่สำเร็จ
เพราะเขาคือ นักต่อรอง... Yugo


สนใจอยากได้ Yugo การ์ตูนหายากไปไว้ในครอบครอง ติดต่อมาได้เลยครับ

วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Alive: The Final Evolution (アライブ -最終 進化的 少年-, Araibu - Saishū Shinkateki Shōnen)

หลายๆครั้งที่ผมผ่านแผงหนังสือไปโดยมองข้ามหนังสือหลายๆเรื่อง
จากนั้นก็จะได้ยินคนอื่นพูดถึง...
พูดว่าเรื่องที่ผมพลาดไปนั้น มันเยี่ยมยอดขนาดไหน

Alive: The Final Evolution (アライブ -最終 進化的 少年-, Araibu - Saishū Shinkateki Shōnen) หรือในชื่อภาษาไทยว่า "เผ่าหายนะ คนผ่าเหล่า" ซึ่งจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วิบูลย์กิจ ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่เข้าข่ายนี้

ผมมองผ่านมันไปหลายที และแอบคิดไปเองว่ามันคงเป็นการ์ตูน Service เนื้อหาดาด
จนวันหนึ่งมีโอกาสได้อ่านบทความที่พูดถึงหนังสือการ์ตูนเรื่องนี้

...จนอดไม่ได้ ผมเลยไปตามหาการ์ตูนเรื่องนี้มาอ่านอย่างพลาดไม่ได้จริงๆ

เรื่องราวของมนุษย์ที่มีการกลายพันธุ์ในรูปแบบต่างๆนั้นผ่านตาของเราจากภาพยนตร์ Hollywood หลายๆเรื่อง

Alive ก็เช่นกัน การกลายพันธุ์ที่เลี่ยงไม่ได้ และพวกเขาไม่อาจเลือกได้ ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของมนุษย์กลุ่มหนึ่งไปอย่างถาวร

ภาพยนตร์ Action อย่าง X-Men มารวมร่างกับลายเส้นแบบ Manga ญี่ปุ่น คือคำจำกัดความของ การ์ตูนเรื่องนี้

ผมพึ่งอ่านเล่มจบเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา
รู้สึกลึกซึ้งถึงปรัชญาบางอย่างที่แฝงไว้ในการ์ตูนเรื่องนี้...

ปรัชญาที่ว่า... คนเราต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป แม้ว่าต้องเผชิญกับความเจ็บช้ำแค่ไหนก็ตาม

วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Percy Jackson and the Olympians : โอลิมปัสบนยอด Empire State

ผมเชื่อว่าเด็กผู้ชายไม่มากก็น้อยจะต้องมีความฝัน ความชื่นชอบเรื่องราว Fantasy อย่างพวกเทพกรีก เทพโรมัน ต่างๆ ...อย่างน้อยพวกที่ชอบ Seiya ก็น่าจะมีแนวโน้มชอบเรื่องของ Percy Jackson เป็นแน่

องค์ประกอบที่มีกลิ่นอายแปลกๆของการเอาเรื่องราวเทพปกรณ์นัมของกรีก มาผนวกกับโลกยุคปัจจุบัน
สร้างบรรยากาศที่ลงตัวอย่างแปลกๆให้กับหนังสือเล่มนี้ อย่างเช่น การย้ายเขาโอลิมปัสมาอยู่บนชั้น 600 ของ Empire State หรือว่าให้ Apollo เทพแห่งดวงอาทิตย์มาขับรถสปอร์ตสีแดงเพลิง เป็นต้น

Percy Jackson ตัวเอกของเรื่องเป็นเด็กธรรมดาๆ ที่ออกจะธรรมดาเกินไปด้วยซ้ำ
ด้วยชีวิตที่ธรรมดาจนมากเกินไปของเขา ทำให้เขาไม่ได้ต่างอะไรกับเด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน
จนกระทั่งเขาได้รับรู้ความลับบางอย่าง ว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงเด็กผู้ชายธรรมดาๆ
แต่เขาเป็นลูกครึ่งเทพเจ้ากับมนุษย์ เหมือนกับวีรบุรุษในตำนานหลายๆคนอย่าง Hercules และ Perceus

ทำให้เขาต้องเข้าไปอยู่อาศัยในค่ายที่เรียกว่า Camp Half Blood ซึ่งเป็นศูนย์รวมของ Demi-Gods อย่างเขา

กลิ่นอายโดยทั่วไปอาจจะคล้ายๆกับ Harry Potter แต่จะต่างไปก็เรื่องของการปรากฎตัวของเหล่าเทพเจ้ากรีกหลายๆองค์ที่คอยเข้ามาสร้างภารกิจต่างๆให้ Percy ไปทำเพื่อกอบกู้โลก

เรื่องราวใน Series นี้มีความยาว 5 เล่ม และผมยืนยันว่าต้องอ่านทั้ง 5 เล่ม คุณถึงจะไม่ตกหล่นรายละเอียดหลายๆอย่างที่ผู้เขียน (Rick Riodan) ได้สอดแทรกเอาตามเนื้อหาในเล่มต่างๆ

ด้วยความดังของ Series นี้ทำให้มีเรื่องราวต่อเนื่องของ Percy Jackson ในชื่อว่า The Heros of Olympus และได้ถูกทำเป็นภาพยนตร์ ซึ่งกำกับโดย Chris Columbus ซึ่งโดยส่วตัวแล้ว ผมไม่ชอบมันเอาเสียเลย...

วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

Jurassic Park : Life Always find the way...

ผมจำได้ชัดในวันที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้
จำโรงที่ชมได้ดี และจำได้ชัดถึงความตื่นตาทุกๆอย่าง
ถ้าจะเรียกว่าหลงใหล ผมว่าผมหลงใหลใน Franchise ของ Jurassic Park มากๆ

ผมดูหนังเรื่องนี้ (เฉพาะภาค 1) ไปมากกว่า 200 ร้อยรอบ
ทั้งผ่านทางโรงภาพยนตร์ VDP LD DVD และ TV

ด้วยความชอบอย่างหัวปักหัวปำ ทำให้ผมต้องไปหาฉบับนิยายมาอ่านจนได้...

จำได้ว่าในตอนแรกๆนั้น ผมไม่สามารถหาฉบับภาษาไทยได้
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำให้ต้องไปหาฉบับภาษาอังกฤษมาอ่าน

เด็ก ป.5 กับ นิยายวิทยาศาสตร์ภาษาอังกฤษกว่า 300 หน้า
ช่างเป็นส่วนผสมที่ไม่ลงตัวเหลือเกิน...
ภารกิจนั้นเลยไม่ได้สำเร็จลุล่วงด้วยดี

ล่วงเลยไปอีกช่วงยาวๆ
ผมไปได้ฉบับภาษาไทยมาจากรุ่นพี่ที่สนิทคนหนึ่ง
จำได้ว่าพอเปิดอ่านแล้ว มันหยุดไม่ได้เลยทีเดียว
ผมโซโล่ยาว 24 ชั่วโมงรวดจนจบ

มิติที่ได้รับจากการเสพย์นิยายนั้น
มันเมามายกว่าชมภาพยนตร์ยิ่งนัก

รายละเอียดปลีกย่อยของฉบับนิยายนั้นแตกต่างกับภาพยนตร์ค่อนข้างมาก
แต่อย่างว่า File from Novel มักจะต้องตัดถอนเพื่อให้ได้อรรถรสรวมในเวลา 2 ชั่วโมง
ซึ่งต้องตัดทอนอะไรๆไปเยอะอย่างแน่นอน

เพราะ Jurassic Park ทำให้ผมได้รู้จัก Michael Crichton และจากจุดนั้น
ทำให้ผมได้ติดตามอ่านผลงานเรื่องอื่นๆของเขา อย่าง Timeline, Congo, Sphere, etc.
และยกเขาเป็นนักเขียนอันดับหนึ่งในดวงใจ

Jurassic Park เป็นผลงานนวนิยายที่มีกลิ่นอายของการผจญภัย ผสมปนเปไปกับ
ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ แต่ไม่หนักหัวเกินไป
บวกกับความเป็น American Hero นิดๆ ที่มีอยู่ในนวนิยายของ Crichton เกือบทุกเรื่อง
นั่นก็คือ การรวมตัวของกลุ่มผู้มีความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ
มาแก้ไขปัญหาบางอย่างร่วมกัน ซึ่งแต่ละเรื่องมีจุดจบที่แตกต่างกันไป
ตามเนื้อหาของมัน

สิ่งที่ช่วยให้ Crichton เขียนนิยายวิทยาศาตร์ได้ดี เนื่องจากเขามีความรู้ทางด้านนี้เป็นอย่างดี
จากการเป็นนักศึกษาเตรียมแพทย์ก่อนจะหันมาจับปากกาเป็นนักเขียน

ฉบับภาษาไทยตอนนี้คงต้องรอในงานหนังสือซึ่งจัดแปลโดยคุณสุวิทย์ ขาวปลอด
นักแปลที่ผมนิยมท่านหนึ่ง โดยสำนักพิมพ์วรรณวิภาครับ
 

หาหนังสือเก่า พูดคุยเรื่องหนังสือใน Facebook ได้ที่ : bangkokians.bookstore
ทำความรู้จักกับ Jurassic Park มากขึ้นที่นี่ : Jurassic Park on Goodreads

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

Saint Seiya : ด้วยความคิดถึง

ในช่วงประถมศึกษานั้น เป็นช่วงที่ผมได้รู้จักกับ Seiya และการ์ตูนเรื่องนี้ ก็เป็นหนังสือการ์ตูนเล่มแรกที่ผมซื้อ
ซึ่งในปัจจุบันนี้ผมยังจำรายละเอียดของการซื้อในครั้งนั้นได้ค่อนข้างเป็นอย่างดี

เชื่อว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกับผมในเมืองไทย ต้องเคยได้ยินชื่อ Seiya มากันเป็นที่แน่นอน
จะสนิทกับ Seiya มากน้อยแค่ไหนนั้นคงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ต้องเคยได้ยินมาแน่นอน

เรื่องราวของ Seiya นั้น จะเรียกไปว่าเป็นการ์ตูนแบบสูตรสำเร็จก็ว่าได้
ตัวเอกต่อสู้กับศัตรู... กลายมาเป็นเพื่อนกัน... และไปต่อสู้ต่อกับศัตรูที่เก่งขึ้นไปเรื่อยๆ

เนื้อหาหลักๆของการ์ตูนเรื่องนี้ดำเนินไปในแนวแบบนั้น

แต่ที่มันเจ๋งก็คือ ชุดเกราะของตัวละครแต่ละตัวที่ต้องเรียกว่าเป็นงานศิลป์!!!

แต่ละชุดถูกสร้างขึ้นมาอิงตามกลุ่มดาวต่างๆในเทพนิยายกรีก
ซึ่งกลายมาเป็นจุดขายของการ์ตูนเรื่องนี้

ที่สำคัญของเล่นที่ถูกสร้างขึ้นมาก็มีมากมายจนนักสะสมต้องตามเก็บกันไม่หวาดไม่ไหว!!!

นึกย้อนไป...

เรื่องนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นแรกๆของการรักหนังสือของผม

วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

Beck : ปุ ปะ จังหวะ ฮา

ผมจำได้ว่าครั้งแรกที่ผมเห็นหน้าปกของ Beck นั้น ผมมองข้ามไป และไม่ได้มีความคิดอยากจะซื้อมาอ่านแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะลายเส้นที่ดูไม่ถูกโฉลกกับผมมากนัก

ผ่านไปอยู่นานสักช่วงหนึ่งจน Beck ออกมาถึงรวมเล่มเล่มที่ 4 ถ้าผมจำไม่ผิด ผมมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนที่เล่นดนตรีด้วยกันว่า Beck นี่ล่ะ สุดยอดความมันส์ของการ์ตูนดนตรี ผนวกกับช่วงนั้นที่ผมไม่ได้มีอะไรอ่านเป็นพิเศษ ทำให้ผมต้องไปซื้อหา Beck มาอ่านจนได้

จำได้ว่าหายากอยู่ในระดับหนึ่ง เพราะซื้อหาเล่ม 1 ไม่ได้ จนต้องเที่ยวตระเวนวุ่นอยู่พักหนึ่ง
พอหาได้ และ กลับมาอ่าน

...ความคิดที่ผมมีต่อ Beck ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
...ผมว่าหนังสือเรื่องนี้มันร้องเพลงได้!!!

ผมเป็นคนที่อ่านหนังสือเยอะในระดับหนึ่ง แต่นี่เป็นเล่มแรกของหนังสือการ์ตูนดนตรี ที่ผมแทบจะได้ยินเสียงเพลงะไหลมาพร้อมกับตัวหนังสือ!

เรื่องราวของ Beck ไม่ไดเป็นตามสูตรสำเร็จทั่วไปนัก
ปูพื้นจากตัวละครตัวเอกที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบอะไรมากนัก ออกจะเป็นเด็กขี้แพ้ธรรมดาๆในโรงเรียนซะด้วย
แต่จับพลัดจับผลูทำให้หนุ่มน้อยวัย 14 ที่ชื่อว่า "โคะยูกิ" ได้เริ่มมาเล่นกีต้าร์
จากนั้นโลกของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

Harold Sakuichi ผู้เขียน ได้เล่าเรื่องอย่างน่าสนใจ และตีแผ่มุมมองหลากหลายมุมที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนในอุตสาหกรรมดนตรี

จากวางอินดี้เล็กๆ กลายเป็นวง Rock ชื่อก้องโลก

หนทางของพวกเขาไม่ง่ายดายนัก

แต่ผมเชื่อว่า ทันทีที่คุณได้เริ่มงานเรื่องราวเหล่านี้

คุณอาจจะนึกถึงฝันที่เคยคิดเอาไว้เมื่อตอนยังเป็นเด็กก็ได้...